มาลาเรีย’ ภัยอันตรายไข้จับสั่น พาหะร้ายจากยุงก้นปล่อง

30 ก.ย. 68  | ศูนย์อายุรกรรม
แชร์บทความ      

เมื่อเข้าสู่ฤดูฝน สภาพอากาศที่ชื้นแฉะก็ยิ่งเอื้อให้เกิดการแพร่พันธ์ุของยุงก้นปล่อง พาหะของไข้จับสั่น หรือ ‘มาลาเรีย’ โรคติดต่อที่เป็นภัยอันตรายในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะในเขตร้อนชื้นของประเทศไทย ที่แม้ว่าระบบสาธารณสุขจะมีความก้าวหน้า แต่มาลาเรียก็ยังเป็นโรคติดต่อที่คร่าชีวิตผู้คนทั่วโลกจำนวนมากในแต่ละปี การทำความเข้าใจโรคนี้อย่างถูกต้อง จึงเป็นสิ่งที่สามารถป้องกันเราจากโรคติดต่อได้ 

บทความนี้จะพาไปทำความรู้จักภัยเงียบจากยุงที่เป็นตัวการของโรคมาลาเรียว่าเกิดจากอะไร มีอาการสำคัญอย่างไรบ้าง พร้อมแนวทางการรักษาและการป้องกัน เพื่อให้เราทุกคนสามารถดูแลตนเองและคนรอบข้างได้อย่างปลอดภัยจากไข้มาลาเรีย

รู้จัก มาลาเรีย คืออะไร และมีสาเหตุเกิดจากอะไร ?

มาลาเรีย (Malaria) คือโรคติดต่อที่เกิดจากเชื้อโปรโตซัวในสกุล Plasmodium ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวที่อยู่ในกลุ่มปรสิต เชื้อชนิดนี้สามารถเข้าสู่ร่างกายมนุษย์ผ่านทางการกัดของยุงก้นปล่องเพศเมียที่มีเชื้อมาลาเรียอยู่ในตัว และเมื่อถูกยุงที่เป็นพาหะกัดเชื้อจะถูกส่งเข้าสู่กระแสเลือด จากนั้นจะเดินทางไปยังตับและเริ่มต้นวงจรชีวิตภายในร่างกายมนุษย์ โดยจะเจริญเติบโตและแพร่พันธุ์ก่อนที่จะเข้าสู่เซลล์เม็ดเลือดแดง ซึ่งเป็นระยะที่เชื้อเพิ่มจำนวนและสามารถแพร่กระจายต่อไปได้

โดยแหล่งระบาดของมาลาเรียพบมากในพื้นที่เขตร้อนและกึ่งร้อนทั่วโลก โดยเฉพาะในแอฟริกา เอเชียใต้ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และบางส่วนของอเมริกาใต้ สำหรับประเทศไทย พื้นที่พบการระบาดส่วนใหญ่มักอยู่บริเวณชายแดน โดยเฉพาะในเขตป่าเขาที่มีแหล่งน้ำ เพราะมีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการแพร่พันธุ์ของยุงก้นปล่อง เช่น ความชื้นสูง แหล่งน้ำขัง และอุณหภูมิ จึงเอื้อต่อการเจริญของยุงและพัฒนาการของเชื้อ Plasmodium ในตัวยุง 

เชื้อมาลาเรียที่สามารถก่อโรคในมนุษย์

มาลาเรีย เป็นโรคที่เกิดขึ้นได้จากเชื้อ Plasmodium หลายชนิด โดยแต่ละชนิดก็มีลักษณะเฉพาะในการดำเนินโรคและรูปแบบการแพร่เชื้อแตกต่างกันออกไป ซึ่งชนิดที่ก่อโรคในคนมี 5 ชนิด ดังนี้

  • Plasmodium falciparum (P.f) เป็นชนิดที่ก่อโรครุนแรงที่สุด พบมากในภูมิภาคแอฟริกาและเอเชียตะวันออกเชียงใต้ มีระยะฟักตัวประมาณ 7 - 14 วัน
  • Plasmodium vivax (P.v) เป็นชนิดที่พบบ่อยในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยทั่วไปไม่รุนแรงเท่าชนิด falciparum แต่สามารถหลบซ่อนอยู่ในตับ (hypnozoite) ได้นานหลายปี ซึ่งอาจทำให้กลับมาเป็นซ้ำได้ มีระยะฟักตัวประมาณ 8 - 14 วัน
  • Plasmodium ovale (P.o) เป็นชนิดที่พบได้น้อย สามารถแฝงอยู่ในตับเช่นเดียวกับชนิด vivax ทำให้มีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำ แต่อาการมักไม่รุนแรง มีวงจรไข้ประมาณ 8 - 14 วัน
  • Plasmodium malariae (P.m) เป็นเชื้อมาลาเรียชนิดที่มีแนวโน้มเรื้อรังโดยไม่แสดงอาการชัดเจน และในบางรายอาจส่งผลกระทบต่อไต จนทำให้เกิดภาวะไตอักเสบ (nephrotic syndrome)
  • Plasmodium knowlesi (P.k) เป็นเชื้อที่เดิมพบในลิง ก่อนจะแพร่มาสู่คนผ่านทางยุงก้นปล่องที่เป็นพาหะ เชื้อชนิดนี้มีการดำเนินโรคที่รวดเร็ว และสามารถแสดงอาการได้อย่างฉับพลัน หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้

ไข้มาลาเรีย มีอาการอย่างไร ?

โดยปกติแล้วหลังจากได้รับเชื้อ ผู้ป่วยมักจะเริ่มแสดงอาการภายใน 7-30 วัน ขึ้นอยู่กับชนิดของเชื้อ Plasmodium โดยอาการของโรคมาลาเรียสามารถแบ่งได้เป็น 3 ระยะหลักๆ ดังนี้

  • ระยะหนาวสั่น (Cold stage) ผู้ป่วยจะรู้สึกหนาวจัด ตัวสั่น ปากเขียว อุณหภูมิร่างกายเริ่มสูงขึ้น ซึ่งอาการนี้จะกินเวลาประมาณ 15-60 นาที
  • ระยะร้อน (Hot stage) อุณหภูมิร่างกายพุ่งสูงขึ้นมากกว่า 39-40 องศาเซลเซียส อาจมีอาการหน้าแดง ปวดศีรษะ คลื่นไส้ หรืออาเจียน ระยะนี้อาจกินเวลานานถึง 4-6 ชั่วโมง
  • ระยะเหงื่อออก (Sweating stage) ผู้ป่วยจะมีเหงื่อออกมาก อุณหภูมิเริ่มลดลง รู้สึกอ่อนเพลีย ซึ่งเป็นช่วงที่ไข้ลดลง ก่อนที่อาการจะกลับมาเป็นซ้ำในรอบต่อไปตามวงจรของเชื้อ

ทั้งนี้ ยังมีอีกหนึ่งโรคที่มียุงเป็นพาหะและพบได้บ่อยในฤดูฝนอย่าง ไข้เลือดออก ที่เกิดจากเชื้อไวรัสเดงกี โดยมีพาหะคือยุงลาย ซึ่งหลายคนอาจจำสับสนกับมาลาเรียเพราะมีอาการไข้สูงคล้ายกัน การเข้าใจความแตกต่างและรู้จักวิธีป้องกันอย่างถูกต้องจะช่วยให้เราดูแลสุขภาพได้อย่างปลอดภัย และลดความเสี่ยงจากโรคติดต่อต่างๆ ที่มียุงเป็นพาหะได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ภาวะแทรกซ้อนที่อันตราย

มาลาเรียอาจก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้ หากไม่ได้รับการวินิจฉัยและรักษาอย่างทันท่วงที โดยเฉพาะในผู้ที่ติดเชื้อ Plasmodium falciparum ซึ่งเป็นชนิดที่รุนแรงที่สุด โดยภาวะแทรกซ้อนที่พบบ่อย ได้แก่

  • มาลาเรียขึ้นสมอง เป็นภาวะที่อันตรายที่สุด ผู้ป่วยอาจมีอาการชัก ซึม สับสน หรือหมดสติ หากไม่ได้รับการรักษาอย่างรวดเร็วอาจเข้าสู่ภาวะโคม่าและเสียชีวิตได้
  • ภาวะโลหิตจางรุนแรง เกิดจากการที่เชื้อมาลาเรียทำลายเม็ดเลือดแดงจำนวนมาก ส่งผลให้ผู้ป่วยรู้สึกอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย ซีด และหายใจลำบาก
  • ไตวายเฉียบพลัน เกิดจากการที่ไตต้องกรองของเสียและเม็ดเลือดแดงที่ถูกทำลายเป็นจำนวนมาก จนทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของไตลดลง และอาจต้องใช้การฟอกไตร่วมด้วย
  • ปอดบวมน้ำ เป็นภาวะที่ของเหลวรั่วเข้าสู่ถุงลมในปอด ทำให้หายใจติดขัด หอบเหนื่อย และในบางรายอาจต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ
  • ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ พบได้ในผู้ป่วยที่มีการติดเชื้อรุนแรง หรือได้รับยาต้านมาลาเรียบางชนิด ส่งผลให้มีอาการเวียนศีรษะ เหงื่อออกมาก สับสน ชัก หรือหมดสติ
  • ภาวะเลือดเป็นกรด (Acidosis) เกิดจากการคั่งของของเสียในร่างกาย ทำให้การทำงานของระบบต่างๆ ผิดปกติ ผู้ป่วยจะมีอาการหายใจลำบาก เหนื่อยง่าย และอ่อนเพลียมากผิดปกติ

การวินิจฉัยโรคมาลาเรีย

การวินิจฉัยมาลาเรียแพทย์จะเริ่มจากการซักประวัติผู้ป่วยว่าเคยถูกยุงก้นปล่องกัด หรือเดินทางไปยังพื้นที่ที่มีการระบาดของโรคหรือไม่ จากนั้นจะทำการตรวจร่างกายร่วมกับการตรวจทางห้องปฏิบัติการ ดังนี้

  • การตรวจเลือดด้วยกล้องจุลทรรศน์ (Blood smear) เป็นวิธีตรวจมาตรฐานที่ใช้กันแพร่หลาย โดยการนำเลือดไปย้อมสีและส่องดูด้วยกล้องจุลทรรศน์ เพื่อระบุชนิดของเชื้อ Plasmodium และปริมาณเชื้อที่พบในกระแสเลือด
  • ชุดตรวจหาเชื้อแบบรวดเร็ว (Rapid Diagnostic Test: RDT) ใช้ตรวจหาแอนติเจนของเชื้อมาลาเรียจากตัวอย่างเลือด ให้ผลรวดเร็วภายใน 15–20 นาที เหมาะสำหรับพื้นที่ที่ขาดแคลนห้องปฏิบัติการ
  • การตรวจด้วยวิธี PCR ใช้ตรวจหาสารพันธุกรรมของเชื้อ เหมาะสำหรับกรณีที่ต้องการแยกชนิดของเชื้ออย่างแม่นยำหรือมีปริมาณเชื้อน้อยมาก มักใช้ในห้องปฏิบัติการเฉพาะทาง

การเข้ารับการตรวจวินิจฉัยมาลาเรียอย่างทันท่วงทีเมื่อพบว่ามีอาการ หรือเข้าข่ายกลุ่มเสี่ยงถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง ทั้งนี้ เพื่อให้สามารถเริ่มการรักษาได้อย่างถูกต้องและลดโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงในผู้ป่วย

โรคมาลาเรีย รักษาอย่างไรให้หายขาด ?

การรักษามาลาเรียมีเป้าหมายหลักคือการกำจัดเชื้อปรสิตในกระแสเลือดให้หมด โดยเฉพาะเชื้อ Plasmodium ที่เป็นสาเหตุของโรค ซึ่งการใช้ยาต้านมาลาเรีย (Antimalarial Drugs) ถือเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุด โดยแพทย์จะพิจารณาการให้ยาจากสายพันธุ์มาลาเรีย ความรุนแรงของอาการ อายุ รวมถึงภาวะแทรกซ้อนหรือโรคประจำตัวที่มีอยู่เดิมของผู้ป่วยดังนี้

  • ยากลุ่ม Artemisinin-based Combination Therapy (ACTs) เป็นแนวทางหลักในการรักษามาลาเรียชนิดรุนแรง โดยใช้ยา 2 ชนิดร่วมกัน ได้แก่ Artemether-Lumefantrine และ Artesunate-Mefloquine ซึ่งออกฤทธิ์เร็ว และช่วยลดจำนวนเชื้อในเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ เหมาะสำหรับเชื้อ P. falciparum ซึ่งพบมากและมีความรุนแรง
  • ยา Chloroquine ใช้ในกรณีติดเชื้อ Plasmodium vivax หรือ P. ovale ในพื้นที่ที่เชื้อยังไม่ดื้อยา เป็นยาที่ใช้มานานและได้ผลดีในบางพื้นที่
  • ยา Primaquine หรือ Tafenoquine ใช้เสริมในผู้ป่วยที่ติดเชื้อ P. vivax และ P. ovale ซึ่งมีเชื้อแฝงในตับ เพื่อป้องกันไม่ให้กลับมาเป็นซ้ำอีกในอนาคต
  • ยา Artesunate สำหรับผู้ป่วยรุนแรง เช่น ไข้สูงมาก ชัก หรือมีภาวะแทรกซ้อน โดยให้ยาทางหลอดเลือดดำเพื่อให้ออกฤทธิ์เร็วที่สุด
 

⚠️มาลาเรียสามารถรักษาให้หายได้ภายใน 14 วัน หากได้รับการวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกต้องและทันท่วงที ทั้งนี้ หากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม เชื้ออาจยังหลงเหลือในร่างกาย ทำให้ผู้ป่วยกลับมาเป็นซ้ำได้

 
 

แนวทางป้องกันมาลาเรีย

โรคมาลาเรียสามารถป้องกันได้หากมีความเข้าใจและดูแลตนเองอย่างเหมาะสม การปฏิบัติตามแนวทางเหล่านี้จะช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ

1. การใช้ยาป้องกันในผู้ที่จำเป็น สำหรับผู้ที่ต้องเดินทางไปยังพื้นที่ที่มีการระบาดของมาลาเรียอย่างต่อเนื่อง แพทย์อาจพิจารณาให้ยาเคมีป้องกันล่วงหน้า เช่น doxycycline หรือ atovaquone/proguanil โดยต้องเริ่มรับประทานก่อนเดินทางและต่อเนื่องหลังกลับตามคำแนะนำของแพทย์
2. ป้องกันยุงกัด พกและทาโลชั่นกันยุง เมื่ออยู่กลางแจ้งหรือเดินป่า
3. สังเกตอาการหลังเดินทางกลับจากพื้นที่เสี่ยง หากเดินทางกลับจากพื้นที่ที่มีมาลาเรียระบาดแล้วมีอาการไข้ หนาวสั่น ปวดศีรษะ หรืออ่อนเพลียผิดปกติ ควรรีบไปพบแพทย์ทันที เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและรักษาอย่างรวดเร็ว

แม้ว่ามาลาเรียจะสามารถป้องกันและรักษาได้ แต่ก็ยังเป็นโรคติดต่ออันตรายที่ไม่ควรมองข้าม โดยเฉพาะในฤดูฝนที่เป็นฤดูแห่งการแพร่ระบาดของยุงก้นปล่อง การรู้เท่าทันสาเหตุ อาการและวิธีป้องกัน จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากมีอาการน่าสงสัย ควรรีบพบแพทย์โดยเร็ว เพื่อการวินิจฉัยและรักษาอย่างทันท่วงที ป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นตามมา


 

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมและนัดหมายแพทย์ได้ที่ 

ศูนย์อายุรกรรม ชั้น 3 โรงพยาบาลวิมุต

เวลาทำการ 08:00 - 24:00 น. โทร. 0-2079-0030

หรือดาวน์โหลด ViMUT Application เพื่อนัดหมายแพทย์ หรือบริการปรึกษาหมอออนไลน์ 

 

ทุกปัญหาสุขภาพ ปรึกษาแพทย์เฉพาะทางออนไลน์ ที่พร้อมดูแลคุณด้วยความใส่ใจ


เรื่องสุขภาพน่ารู้ที่เกี่ยวข้อง

Card Image
รู้หรือไม่… วัคซีนปอดอักเสบจำเป็นแค่ไหนในผู้สูงอายุ

วัคซีนปอดอักเสบในผู้สูงอายุ จำเป็นต้องฉีดไหม ฉีดแล้วช่วยป้องกันโรคปอดอักเสบได้จริงหรือไม่ มาดูคำตอบได้ที่นี่ว่าทำไมผู้สูงอายุถึงควรฉีดวัคซีนนี้กัน พร้อมแพ็กเกจวัคซีนราคาพิเศษ

อ่านเพิ่มเติม
Card Image
6 วัคซีนสำหรับผู้สูงอายุ ที่แนะนำให้ลูกหลานพาไปฉีด

เปิดคำแนะนำการฉีดวัคซีนผู้สูงอายุ วัคซีนอะไรบ้างที่ควรฉีดอัปเดตข้อมูลปี 2566 เพื่อลดอัตราเสี่ยงการเสียชีวิตและบรรเทาอาการหนักให้เบาลง กับ 6 วัคซีนนี้เลยที่เรารวมข้อมูลมาให้แล้ว

อ่านเพิ่มเติม
Card Image
หายป่วยลองโควิดได้ หายขาดด้วยโปรแกรมตรวจสุขภาพหลังเป็นโควิด

โควิดที่ว่าน่ากลัว ยังไม่เท่าลองโควิด มาตรวจเช็กปอดและร่างกายให้เท่าทันโรค กับโปรแกรมตรวจสุขภาพหลังเป็นโควิด เพื่อการฟื้นฟูและการดูแลตัวเองได้อย่างรวดเร็ว

อ่านเพิ่มเติม
Card Image
รวมสารพัดเมนูอาหาร เพื่อสุขภาพผู้สูงอายุ

รวมสารพัดเมนูอาหารเพื่อผู้สูงอายุ ควรกินอะไรดี ใครนึกไม่ออก เรารวมให้แล้วที่นี่ กับเมนูอาหารและโภชนาการเพื่อผู้สูงอายุ ที่ช่วยดูแลสุขภาพและบำรุงร่างกายให้แข็งแรงอย่างยั่งยืน

อ่านเพิ่มเติม