อุ้งเชิงกรานอักเสบ ภาวะติดเชื้อที่คุณผู้หญิงไม่ควรมองข้าม

27 พ.ค. 68 
แชร์บทความ      

สาวๆ ที่เคยรู้สึกปวดหน่วงๆ ที่ท้องน้อยแบบไม่มีสาเหตุ หรือพบว่าตกขาวดูผิดแปลกจากปกติต้องระวัง! เพราะอาจเป็นสัญญาณเตือนของ ‘อุ้งเชิงกรานอักเสบ’ หรือภาวะติดเชื้อที่สามารถส่งผลร้ายแรงต่อสุขภาพของผู้หญิงได้มากกว่าที่คิดหากปล่อยไว้โดยไม่รีบรักษา บทความนี้จะพาไปรู้จักกับภาวะอุ้งเชิงกรานอักเสบให้มากขึ้น ตั้งแต่อาการ สาเหตุ การตรวจวินิจฉัย ไปจนถึงแนวทางการรักษา เพื่อให้คุณผู้หญิงสามารถดูแลสุขภาพของตัวเองได้อย่างมั่นใจและห่างไกลจากภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง

อุ้งเชิงกรานอักเสบคืออะไร? ภาวะอันตรายที่ผู้หญิงควรรู้

อุ้งเชิงกรานอักเสบ (Pelvic Inflammatory Disease หรือ PID) คือภาวะการติดเชื้อที่เกิดขึ้นในอวัยวะสืบพันธุ์ของสตรีส่วนบน เช่น มดลูก ปีกมดลูก และรังไข่ มักเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียที่ลุกลามจากช่องคลอดหรือปากมดลูกขึ้นไปยังอวัยวะภายใน หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีอาจส่งผลให้เกิดภาวะแทรกซ้อนระยะยาวได้

อาการของอุ้งเชิงกรานอักเสบ

อุ้งเชิงกรานอักเสบ อาการของโรคอาจแสดงออกแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล บางคนอาจมีอาการเพียงเล็กน้อย แต่ในบางกรณีอาการอาจรุนแรงจนส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน โดยมีอาการสำคัญที่พบได้บ่อย ดังนี้

  • ปวดท้องน้อย หรือปวดหน่วงบริเวณอุ้งเชิงกราน 
  • ตกขาวมีลักษณะผิดปกติ เช่น ตกขาวเปลี่ยนเป็นสีเหลืองหรือเขียว ซึ่งอาจบ่งบอกถึงการติดเชื้อแบคทีเรีย
  • มีไข้ หากผู้ป่วยติดเชื้อรุนแรงอาจมีอาการไข้สูง หรือรู้สึกหนาวสั่นร่วมด้วย

รู้ทันสาเหตุของอุ้งเชิงกรานอักเสบ

ภาวะอุ้งเชิงกรานอักเสบมักมีสาเหตุเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย โดยเฉพาะแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STIs) เช่น หนองในแท้ (Gonorrhea) และหนองในเทียม (Chlamydia) อย่างไรก็ตาม แบคทีเรียที่มีอยู่ตามปกติในช่องคลอดก็อาจเป็นสาเหตุได้เช่นกัน โดยมีปัจจัยเสี่ยงที่เพิ่มโอกาสเกิดโรค ได้แก่

  • การมีคู่นอนหลายคน หรือเปลี่ยนคู่นอนบ่อยๆ อาจเพิ่มความเสี่ยงการติดเชื้อจากโรคทางเพศสัมพันธ์มากขึ้น
  • การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัย การไม่ป้องกันระหว่างมีเพศสัมพันธ์ทำให้เชื้อแบคทีเรียสามารถติดต่อกันได้ง่าย
  • มีประวัติโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ หรือประวัติโรคอุ้งเชิงกรานอักเสบ ผู้ที่เคยติดเชื้อโรคทางเพศสัมพันธ์มาก่อนมีโอกาสเสี่ยงที่จะติดเชื้อมากขึ้น เช่น ผู้ที่ติดเชื้อ HIV
  • การใส่อุปกรณ์คุมกำเนิดบางชนิด เช่น ห่วงคุมกำเนิด (IUD) อาจเพิ่มความเสี่ยงจากการติดเชื้อได้ในช่วง 3 สัปดาห์แรก
  • มีภูมิคุ้มกันต่ำ ส่งผลให้ร่างกายต่อสู้เชื้อโรคได้ไม่เต็มที่ ทำให้แบคทีเรียจากช่องคลอดแพร่ขึ้นสู่มดลูก ปีกมดลูก หรือรังไข่ และเกิดการอักเสบได้ง่าย

ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นจากอุ้งเชิงกรานอักเสบ

หากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม อุ้งเชิงกรานอักเสบอาจก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาว ไม่เพียงแต่สร้างความเจ็บปวด แต่ยังส่งผลต่อระบบสืบพันธุ์และคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยได้ ดังนี้

  • ภาวะมีบุตรยาก หากผู้ป่วยติดเชื้อซ้ำหรือได้รับการรักษาล่าช้า อาจเกิดพังผืดหรือแผลเป็นในท่อนำไข่ ทำให้ท่อนำไข่อุดตัน ไข่ที่ตกจึงไม่สามารถผ่านท่อนำไข่ได้ ส่งผลให้เกิดภาวะมีบุตรยากตามมา
  • การตั้งครรภ์นอกมดลูก พังผืดจากการอักเสบอาจทำให้ไข่ที่ปฏิสนธิฝังตัวผิดตำแหน่ง เช่น ในท่อนำไข่ ซึ่งเป็นภาวะอันตรายที่อาจทำให้ท่อนำไข่แตกและเกิดภาวะตกเลือดรุนแรงได้ หากไม่ได้รับการรักษาโดยทันทีอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
  • อาการปวดอุ้งเชิงกรานเรื้อรัง การอักเสบที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องอาจทำให้เกิดอาการปวดอุ้งเชิงกรานแบบเรื้อรัง ซึ่งมักส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน ทำให้รู้สึกไม่สบายขณะมีเพศสัมพันธ์หรือทำกิจกรรมต่างๆ
  • ฝีหนองในอุ้งเชิงกราน การติดเชื้อที่รุนแรงอาจทำให้เกิดฝีหนองในบริเวณอุ้งเชิงกราน และอาจจำเป็นต้องได้รับการผ่าตัดระบายหนองออก หากไม่รักษาอาจทำให้การติดเชื้อลุกลามไปยังอวัยวะอื่นๆ ได้
  • เพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อซ้ำ หากเคยมีภาวะอุ้งเชิงกรานอักเสบมาก่อน โอกาสที่จะเกิดการติดเชื้อซ้ำจะสูงขึ้น ซึ่งทำให้เพิ่มความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพของระบบสืบพันธุ์

การตรวจวินิจฉัยอุ้งเชิงกรานอักเสบ

การตรวจวินิจฉัยเป็นขั้นตอนสำคัญในการยืนยันว่าผู้ป่วยมีภาวะอุ้งเชิงกรานอักเสบหรือไม่ เนื่องจากอาการของโรคอาจคล้ายกับอาการผิดปกติของระบบสืบพันธุ์อื่นๆ หลังจากซักถามประวัติอย่างละเอียดแล้วแพทย์อาจมีวิธีตรวจวินิจฉัย ดังนี้

  • ตรวจภายใน แพทย์จะใช้มือคลำตรวจมดลูกและปีกมดลูกเพื่อตรวจหาความผิดปกติ อาการปวด หรืออาการกดเจ็บที่เกิดจากการอักเสบ
  • เก็บตัวอย่างสารคัดหลั่ง หรือตกขาวจากปากมดลูกไปตรวจหาเชื้อแบคทีเรีย เพื่อระบุว่าเป็นการติดเชื้อชนิดใดและเลือกใช้ยาปฏิชีวนะที่เหมาะสม
  • ตรวจเลือดและปัสสาวะ เพื่อตรวจหาค่าการอักเสบ ระดับเม็ดเลือดขาว และดูว่ามีการติดเชื้อที่เกี่ยวข้องหรือไม่
  • อัลตราซาวด์ CT หรือ MRI เพื่อดูอวัยวะในอุ้งเชิงกรานว่ามีการบวม การสะสมของของเหลว หรือฝีหนองเกิดขึ้นหรือไม่
  • การส่องกล้องตรวจช่องท้อง (Laparoscopy) ในกรณีที่วินิจฉัยได้ยาก แพทย์อาจใช้วิธีการส่องกล้องเพื่อตรวจดูฝีหนองและผังผืด

การรักษาภาวะอุ้งเชิงกรานอักเสบ

เมื่อได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นอุ้งเชิงกรานอักเสบแล้ว การรักษาอย่างถูกต้องและต่อเนื่องเป็นสิ่งสำคัญเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อน โดยแพทย์มักแนะนำวิธีการรักษา ดังนี้

  • ใช้ยาปฏิชีวนะ แพทย์จะสั่งยาปฏิชีวนะเพื่อกำจัดเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของการอักเสบ ผู้ป่วยต้องรับประทานยาตามแพทย์สั่งจนหมดแม้อาการจะดีขึ้นแล้วก็ตาม เพื่อป้องกันการติดเชื้อซ้ำ
  • งดการมีเพศสัมพันธ์ ควรงดการมีเพศสัมพันธ์จนกว่าการติดเชื้อจะหายสนิท เพื่อลดความเสี่ยงในการแพร่เชื้อและป้องกันการอักเสบซ้ำ
  • รักษาฝีหนองหรือพังผืด หากมีฝีหนองหรือพังผืดที่เกิดจากการอักเสบ อาจต้องใช้วิธีการผ่าตัดระบายหนองหรือแก้ไขปัญหาท่อนำไข่อุดตัน
  • เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล ในกรณีที่รักษาด้วยยากินแล้วไม่ดีขึ้นหรือมีอาการรุนแรง เช่น มีไข้สูง ปวดท้องอย่างรุนแรง ตั้งครรภ์ หรือมีภาวะแทรกซ้อน อาจจำเป็นต้องรับยาทางเส้นเลือดและเฝ้าระวังอาการอย่างใกล้ชิด

อุ้งเชิงกรานอักเสบเป็นภาวะที่ผู้หญิงควรให้ความสำคัญ เพราะอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรงและส่งผลต่อสุขภาพในระยะยาว การป้องกันโรคจึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม ไม่ว่าจะเป็นการใช้ถุงยางอนามัย หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงต่างๆ และเข้ารับการตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งหากพบอาการผิดปกติควรรีบพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาโดยทันที

 

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมและนัดหมายแพทย์ได้ที่

ศูนย์สูตินรีเวช ชั้น 3 โรงพยาบาลวิมุต

เวลาทำการ 08.00-20.00 น. โทร. 0-2079-0066

หรือดาวน์โหลด ViMUT Application เพื่อนัดหมายแพทย์ หรือบริการปรึกษาหมอออนไลน์

ทุกปัญหาสุขภาพ ปรึกษาแพทย์เฉพาะทางออนไลน์ ที่พร้อมดูแลคุณด้วยความใส่ใจ


แนะนำแพทย์ที่เกี่ยวข้อง

Card Image
พญ.ณัฐณิชา
กังวลกิจ
สูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา