สาวๆ ที่เคยรู้สึกปวดหน่วงๆ ที่ท้องน้อยแบบไม่มีสาเหตุ หรือพบว่าตกขาวดูผิดแปลกจากปกติต้องระวัง! เพราะอาจเป็นสัญญาณเตือนของ ‘อุ้งเชิงกรานอักเสบ’ หรือภาวะติดเชื้อที่สามารถส่งผลร้ายแรงต่อสุขภาพของผู้หญิงได้มากกว่าที่คิดหากปล่อยไว้โดยไม่รีบรักษา บทความนี้จะพาไปรู้จักกับภาวะอุ้งเชิงกรานอักเสบให้มากขึ้น ตั้งแต่อาการ สาเหตุ การตรวจวินิจฉัย ไปจนถึงแนวทางการรักษา เพื่อให้คุณผู้หญิงสามารถดูแลสุขภาพของตัวเองได้อย่างมั่นใจและห่างไกลจากภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง
อุ้งเชิงกรานอักเสบคืออะไร? ภาวะอันตรายที่ผู้หญิงควรรู้
อุ้งเชิงกรานอักเสบ (Pelvic Inflammatory Disease หรือ PID) คือภาวะการติดเชื้อที่เกิดขึ้นในอวัยวะสืบพันธุ์ของสตรีส่วนบน เช่น มดลูก ปีกมดลูก และรังไข่ มักเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียที่ลุกลามจากช่องคลอดหรือปากมดลูกขึ้นไปยังอวัยวะภายใน หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีอาจส่งผลให้เกิดภาวะแทรกซ้อนระยะยาวได้
อาการของอุ้งเชิงกรานอักเสบ
อุ้งเชิงกรานอักเสบ อาการของโรคอาจแสดงออกแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล บางคนอาจมีอาการเพียงเล็กน้อย แต่ในบางกรณีอาการอาจรุนแรงจนส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน โดยมีอาการสำคัญที่พบได้บ่อย ดังนี้
- ปวดท้องน้อย หรือปวดหน่วงบริเวณอุ้งเชิงกราน
- ตกขาวมีลักษณะผิดปกติ เช่น ตกขาวเปลี่ยนเป็นสีเหลืองหรือเขียว ซึ่งอาจบ่งบอกถึงการติดเชื้อแบคทีเรีย
- มีไข้ หากผู้ป่วยติดเชื้อรุนแรงอาจมีอาการไข้สูง หรือรู้สึกหนาวสั่นร่วมด้วย
รู้ทันสาเหตุของอุ้งเชิงกรานอักเสบ
ภาวะอุ้งเชิงกรานอักเสบมักมีสาเหตุเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย โดยเฉพาะแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STIs) เช่น หนองในแท้ (Gonorrhea) และหนองในเทียม (Chlamydia) อย่างไรก็ตาม แบคทีเรียที่มีอยู่ตามปกติในช่องคลอดก็อาจเป็นสาเหตุได้เช่นกัน โดยมีปัจจัยเสี่ยงที่เพิ่มโอกาสเกิดโรค ได้แก่
- การมีคู่นอนหลายคน หรือเปลี่ยนคู่นอนบ่อยๆ อาจเพิ่มความเสี่ยงการติดเชื้อจากโรคทางเพศสัมพันธ์มากขึ้น
- การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัย การไม่ป้องกันระหว่างมีเพศสัมพันธ์ทำให้เชื้อแบคทีเรียสามารถติดต่อกันได้ง่าย
- มีประวัติโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ หรือประวัติโรคอุ้งเชิงกรานอักเสบ ผู้ที่เคยติดเชื้อโรคทางเพศสัมพันธ์มาก่อนมีโอกาสเสี่ยงที่จะติดเชื้อมากขึ้น เช่น ผู้ที่ติดเชื้อ HIV
- การใส่อุปกรณ์คุมกำเนิดบางชนิด เช่น ห่วงคุมกำเนิด (IUD) อาจเพิ่มความเสี่ยงจากการติดเชื้อได้ในช่วง 3 สัปดาห์แรก
- มีภูมิคุ้มกันต่ำ ส่งผลให้ร่างกายต่อสู้เชื้อโรคได้ไม่เต็มที่ ทำให้แบคทีเรียจากช่องคลอดแพร่ขึ้นสู่มดลูก ปีกมดลูก หรือรังไข่ และเกิดการอักเสบได้ง่าย
ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นจากอุ้งเชิงกรานอักเสบ
หากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม อุ้งเชิงกรานอักเสบอาจก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาว ไม่เพียงแต่สร้างความเจ็บปวด แต่ยังส่งผลต่อระบบสืบพันธุ์และคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยได้ ดังนี้
- ภาวะมีบุตรยาก หากผู้ป่วยติดเชื้อซ้ำหรือได้รับการรักษาล่าช้า อาจเกิดพังผืดหรือแผลเป็นในท่อนำไข่ ทำให้ท่อนำไข่อุดตัน ไข่ที่ตกจึงไม่สามารถผ่านท่อนำไข่ได้ ส่งผลให้เกิดภาวะมีบุตรยากตามมา
- การตั้งครรภ์นอกมดลูก พังผืดจากการอักเสบอาจทำให้ไข่ที่ปฏิสนธิฝังตัวผิดตำแหน่ง เช่น ในท่อนำไข่ ซึ่งเป็นภาวะอันตรายที่อาจทำให้ท่อนำไข่แตกและเกิดภาวะตกเลือดรุนแรงได้ หากไม่ได้รับการรักษาโดยทันทีอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
- อาการปวดอุ้งเชิงกรานเรื้อรัง การอักเสบที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องอาจทำให้เกิดอาการปวดอุ้งเชิงกรานแบบเรื้อรัง ซึ่งมักส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน ทำให้รู้สึกไม่สบายขณะมีเพศสัมพันธ์หรือทำกิจกรรมต่างๆ
- ฝีหนองในอุ้งเชิงกราน การติดเชื้อที่รุนแรงอาจทำให้เกิดฝีหนองในบริเวณอุ้งเชิงกราน และอาจจำเป็นต้องได้รับการผ่าตัดระบายหนองออก หากไม่รักษาอาจทำให้การติดเชื้อลุกลามไปยังอวัยวะอื่นๆ ได้
- เพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อซ้ำ หากเคยมีภาวะอุ้งเชิงกรานอักเสบมาก่อน โอกาสที่จะเกิดการติดเชื้อซ้ำจะสูงขึ้น ซึ่งทำให้เพิ่มความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพของระบบสืบพันธุ์
การตรวจวินิจฉัยอุ้งเชิงกรานอักเสบ
การตรวจวินิจฉัยเป็นขั้นตอนสำคัญในการยืนยันว่าผู้ป่วยมีภาวะอุ้งเชิงกรานอักเสบหรือไม่ เนื่องจากอาการของโรคอาจคล้ายกับอาการผิดปกติของระบบสืบพันธุ์อื่นๆ หลังจากซักถามประวัติอย่างละเอียดแล้วแพทย์อาจมีวิธีตรวจวินิจฉัย ดังนี้
- ตรวจภายใน แพทย์จะใช้มือคลำตรวจมดลูกและปีกมดลูกเพื่อตรวจหาความผิดปกติ อาการปวด หรืออาการกดเจ็บที่เกิดจากการอักเสบ
- เก็บตัวอย่างสารคัดหลั่ง หรือตกขาวจากปากมดลูกไปตรวจหาเชื้อแบคทีเรีย เพื่อระบุว่าเป็นการติดเชื้อชนิดใดและเลือกใช้ยาปฏิชีวนะที่เหมาะสม
- ตรวจเลือดและปัสสาวะ เพื่อตรวจหาค่าการอักเสบ ระดับเม็ดเลือดขาว และดูว่ามีการติดเชื้อที่เกี่ยวข้องหรือไม่
- อัลตราซาวด์ CT หรือ MRI เพื่อดูอวัยวะในอุ้งเชิงกรานว่ามีการบวม การสะสมของของเหลว หรือฝีหนองเกิดขึ้นหรือไม่
- การส่องกล้องตรวจช่องท้อง (Laparoscopy) ในกรณีที่วินิจฉัยได้ยาก แพทย์อาจใช้วิธีการส่องกล้องเพื่อตรวจดูฝีหนองและผังผืด
การรักษาภาวะอุ้งเชิงกรานอักเสบ
เมื่อได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นอุ้งเชิงกรานอักเสบแล้ว การรักษาอย่างถูกต้องและต่อเนื่องเป็นสิ่งสำคัญเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อน โดยแพทย์มักแนะนำวิธีการรักษา ดังนี้
- ใช้ยาปฏิชีวนะ แพทย์จะสั่งยาปฏิชีวนะเพื่อกำจัดเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของการอักเสบ ผู้ป่วยต้องรับประทานยาตามแพทย์สั่งจนหมดแม้อาการจะดีขึ้นแล้วก็ตาม เพื่อป้องกันการติดเชื้อซ้ำ
- งดการมีเพศสัมพันธ์ ควรงดการมีเพศสัมพันธ์จนกว่าการติดเชื้อจะหายสนิท เพื่อลดความเสี่ยงในการแพร่เชื้อและป้องกันการอักเสบซ้ำ
- รักษาฝีหนองหรือพังผืด หากมีฝีหนองหรือพังผืดที่เกิดจากการอักเสบ อาจต้องใช้วิธีการผ่าตัดระบายหนองหรือแก้ไขปัญหาท่อนำไข่อุดตัน
- เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล ในกรณีที่รักษาด้วยยากินแล้วไม่ดีขึ้นหรือมีอาการรุนแรง เช่น มีไข้สูง ปวดท้องอย่างรุนแรง ตั้งครรภ์ หรือมีภาวะแทรกซ้อน อาจจำเป็นต้องรับยาทางเส้นเลือดและเฝ้าระวังอาการอย่างใกล้ชิด
อุ้งเชิงกรานอักเสบเป็นภาวะที่ผู้หญิงควรให้ความสำคัญ เพราะอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรงและส่งผลต่อสุขภาพในระยะยาว การป้องกันโรคจึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม ไม่ว่าจะเป็นการใช้ถุงยางอนามัย หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงต่างๆ และเข้ารับการตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งหากพบอาการผิดปกติควรรีบพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาโดยทันที
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมและนัดหมายแพทย์ได้ที่
ศูนย์สูตินรีเวช ชั้น 3 โรงพยาบาลวิมุต
เวลาทำการ 08.00-20.00 น. โทร. 0-2079-0066
หรือดาวน์โหลด ViMUT Application เพื่อนัดหมายแพทย์ หรือบริการปรึกษาหมอออนไลน์
ทุกปัญหาสุขภาพ ปรึกษาแพทย์เฉพาะทางออนไลน์ ที่พร้อมดูแลคุณด้วยความใส่ใจ
แนะนำแพทย์ที่เกี่ยวข้อง

กังวลกิจ

กังวลกิจ

กังวลกิจ

กังวลกิจ

กังวลกิจ

กังวลกิจ