'ซิฟิลิส' ภัยเงียบทางเพศที่แสร้งว่าหายเองได้ คือโรคอะไร อาการเป็นยังไง ?

ในยุคที่การดูแลสุขภาพทางเพศเป็นเรื่องสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ยังคงเป็นภัยเงียบที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะ ‘โรคซิฟิลิส’ ที่แม้หลายคนอาจคุ้นชื่อ แต่กลับไม่ทราบถึงอาการที่แท้จริง ช่องทางการติดต่อ รวมถึงภาวะแทรกซ้อนที่อาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง บทความนี้จะพาไปทำความรู้จักกับโรคซิฟิลิสตั้งแต่สาเหตุ อาการ การวินิจฉัย ไปจนถึงแนวทางการรักษและวิธีป้องกัน เพื่อให้คุณรู้เท่าทันและสามารถดูแลสุขภาพตนเองได้อย่างมั่นใจ
รู้จัก “ซิฟิลิส” คืออะไร
ซิฟิลิส (Syphilis) คือโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียชื่อ Treponema pallidum ซึ่งสามารถเข้าสู่ร่างกายผ่านทางเยื่อเมือกหรือรอยถลอกบนผิวหนัง เช่น บริเวณอวัยวะเพศ ปาก หรือทวารหนัก โดยลักษณะเด่นของโรคซิฟิลิส คือในบางช่วงอาจไม่มีอาการใดๆ แสดงออกเลย ทำให้ผู้ติดเชื้อไม่รู้ตัวว่ากำลังเป็นพาหะนำโรค ซึ่งหากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่รักษาเชื้อสามารถแพร่กระจายไปสู่อวัยวะสำคัญ เช่น สมอง หัวใจ หลอดเลือด ตา และระบบประสาท กระทั่งนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง อย่างไรก็ตาม หากตรวจพบตั้งแต่ในระยะแรก ซิฟิลิสสามารถรักษาให้หายขาดได้
โรคซิฟิลิส มีช่องทางการติดต่ออย่างไร?
ซิฟิลิส คือโรคติดต่อที่สาเหตุหลักมักเกิดจากการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกันด้วยถุงยางอนามัย ไม่ว่าจะเป็นทางช่องคลอด ทางทวารหนัก หรือทางปาก รวมถึงการสัมผัสกับแผลซิฟิลิสโดยตรงก็สามารถทำให้ติดเชื้อได้ นอกจากนี้ ซิฟิลิสยังสามารถแพร่เชื้อจากแม่สู่ลูกในระหว่างตั้งครรภ์หรือขณะคลอดได้ ซึ่งอาจส่งผลให้ทารกเกิดมาพร้อมภาวะซิฟิลิสแต่กำเนิด (Congenital Syphilis) ซึ่งรุนแรงและอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
อย่างไรก็ตาม โรคนี้ไม่สามารถติดต่อได้ผ่านการสัมผัสในชีวิตประจำวัน เช่น การจับมือ การใช้ภาชนะร่วมกัน หรือการใช้ห้องน้ำร่วมกัน ดังนั้นจึงไม่ควรกีดกันหรือรังเกียจผู้ป่วย

โรคซิฟิลิส มีอาการอย่างไร ?
ซิฟิลิสมีลักษณะเฉพาะที่สำคัญคือการดำเนินโรคเป็นระยะ โดยในแต่ละระยะจะมีอาการที่แตกต่างกัน ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น 4 ระยะ ดังนี้
1. ระยะที่ 1 (Primary Syphilis)
หรือระยะแผล เป็นระยะที่จะเริ่มแสดงอาการภายใน 3 สัปดาห์หลังได้รับเชื้อ มีรอยโรคเป็นผื่นซิฟิลิสสีแดงเข้ม จากนั้นจะแตกเป็นแผลที่มีลักษณะนูน มีขอบชัด ตรงกลางแบน เรียกว่า แผลริมแข็ง (chancre) ซึ่งเป็นแผลที่ไม่เจ็บและไม่มีหนอง มักปรากฏบริเวณอวัยวะเพศ ปาก หรือทวารหนัก ทำให้ผู้ป่วยในระยะแรกบางรายไม่สังเกตเห็น โดยแผลจะหายไปเองภายใน 3 - 6 สัปดาห์ แต่เชื้อซิฟิลิสจะยังคงอยู่ในร่างกาย และสามารถพัฒนาเข้าสู่ระยะถัดไปได้หากไม่ได้รับการรักษา นอกจากนี้ ผู้ป่วยอาจมีต่อมน้ำเหลืองบริเวณใกล้เคียงโตขึ้น
2. ระยะที่ 2 (Secondary Syphilis)
หรือระยะออกดอก ระยะนี้จะเริ่มขึ้นภายใน 4 - 10 สัปดาห์หลังจากแผลริมแข็งหาย โดยจะมีอาการหลักคือผื่นขึ้นทั่วร่างกาย โดยเฉพาะที่ฝ่ามือและฝ่าเท้า ลักษณะเป็นจุดแดงน้ำตาล ไม่คัน และอาจเกิดร่วมกับอาการอื่นๆ เช่น มีไข้ต่ำ ปวดศีรษะ เจ็บคอ อ่อนเพลีย และต่อมน้ำเหลืองโตทั่วร่างกาย บางรายอาจพบแผลเปียกสีขาว (condyloma lata) บริเวณอวัยวะเพศหรือทวารหนัก ซึ่งผื่นและอาการเหล่านี้สามารถหายไปได้เอง แต่หากไม่ได้รับการรักษา โรคจะเข้าสู่ระยะแฝงต่อไป
3. ระยะแฝง (Latent Syphilis)
ในระยะนี้ผู้ป่วยจะไม่มีอาการใดๆ ที่สามารถสังเกตได้ แต่ยังสามารถตรวจพบการติดเชื้อผ่านการตรวจเลือด โดยระยะนี้แบ่งย่อยเป็น Early Latent หรือภายใน 1 ปีหลังติดเชื้อ ซึ่งยังสามารถแพร่เชื้อได้ และ Late Latent หรือหลัง 1 ปี ซึ่งความสามารถในการแพร่เชื้อลดลง แม้ไม่มีอาการ โดยเชื้อสามารถแฝงอยู่ในร่างกายได้นานกว่า 20 ปี ก่อนที่จะพัฒนาเข้าสู่ระยะที่ 4 หรือซิฟิลิสระยะสุดท้าย
4. ระยะสุดท้าย (Tertiary Syphilis)
อาจเกิดขึ้นหลังจากการติดเชื้อผ่านไปแล้วนานนับ 20 ปี หากไม่ได้รับการรักษา เชื้อจะลุกลามและทำให้เกิดความเสียหายรุนแรงต่ออวัยวะภายใน เช่น สมอง หัวใจ หลอดเลือด ตับ ไต หรือกระดูก อย่างรุนแรง และอาจพบการก่อตัวของก้อนเนื้ออักเสบในอวัยวะต่างๆ ส่งผลให้เกิดอาการอัมพาต เดินลำบาก สูญเสียการมองเห็น หลอดเลือดโป่งพอง หรือหัวใจล้มเหลว ซึ่งเป็นอาการที่อาจนำไปสู่การเสียชีวิตได้

ภาวะแทรกซ้อนอันตรายที่เกิดจากโรคซิฟิลิส
หากโรคซิฟิลิสไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม อาจลุกลามเข้าสู่ระยะสุดท้าย ซึ่งก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงในหลายระบบของร่างกาย ดังนี้
- ระบบประสาทและสมอง (Neurosyphilis) เมื่อเชื้อเข้าสู่ระบบประสาท อาจทำให้เกิดโรคหลอดเลือดสมอง เยื่อหุ้มสมองอักเสบ สูญเสียการได้ยิน ตาพร่ามัวหรือตาบอด สมองเสื่อม ชา ปวดตามเส้นประสาท หรือสูญเสียการรับรู้ความร้อนเย็น บางรายอาจกลั้นปัสสาวะไม่ได้ หรือในผู้ชายอาจมีภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ
- ระบบหัวใจและหลอดเลือด (Cardiovascular syphilis) เชื้อซิฟิลิสสามารถทำให้หลอดเลือดแดงใหญ่โป่งพอง ลิ้นหัวใจรั่ว หรือเกิดการอักเสบของหลอดเลือดแดงใหญ่ ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะหัวใจล้มเหลวได้
- เกิดก้อนเนื้องอก ในระยะปลายของโรค อาจเกิดก้อนเนื้ออักเสบที่เรียกว่า กัมม่า (Gummas) พบได้ที่ผิวหนัง กระดูก หรือตับ โดยแม้จะดูรุนแรง แต่สามารถรักษาได้ด้วยยาปฏิชีวนะหากวินิจฉัยและรักษาทันเวลา
- เพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวี (HIV) ผู้ป่วยซิฟิลิสที่เป็นแผลเรื้อรังบริเวณอวัยวะเพศหรือปาก เพิ่มโอกาสการติดเชื้อ HIV สูงขึ้นถึง 2–5 เท่าขณะมีเพศสัมพันธ์ เนื่องจากเชื้อสามารถเข้าสู่ร่างกายได้ง่ายขึ้น
- การถ่ายทอดจากแม่สู่ลูก (Congenital syphilis) หญิงตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อและไม่ได้รับการรักษา อาจถ่ายทอดเชื้อไปสู่ทารกในครรภ์ ทำให้เสี่ยงต่อการเสียชีวิต คลอดก่อนกำหนด น้ำหนักแรกเกิดต่ำ หรือทารกเป็นโรคซิฟิลิสตั้งแต่กำเนิด ส่งผลต่อพัฒนาการและสุขภาพในระยะยาว
แนวทางการวินิจฉัยโรคซิฟิลิส
การวินิจฉัยโรคซิฟิลิส แพทย์จะเริ่มจากการซักประวัติและตรวจร่างกายอย่างละเอียด จากนั้นจึงจะเลือกใช้วิธีตรวจทางห้องปฏิบัติการที่เหมาะสมตามระยะของโรค เพื่อยืนยันการติดเชื้อและวางแผนการรักษา โดยมีแนวทางการตรวจหลัก ดังนี้
1. การตรวจเลือด (Blood Tests) เป็นวิธีหลักในการคัดกรองและยืนยันโรค โดยแบ่งการตรวจได้เป็น 2 แบบ ได้แก่
- ได้แก่ RPR (Rapid Plasma Reagin) ซึ่งใช้ในการคัดกรองและติดตามผลหลังการรักษา
- การตรวจแบบจำเพาะ (Treponemal tests) เช่น TPHA, FTA-ABS หรือ EIA เพื่อยืนยันการติดเชื้อซิฟิลิสโดยตรง
- การตรวจสารคัดหลั่งหรือแผลผิวหนัง (Direct Detection) ในกรณีที่พบแผลหรือผื่นที่น่าสงสัย แพทย์อาจเก็บตัวอย่างจากแผล ผิวหนัง หรือต่อมน้ำเหลืองเพื่อส่องกล้องตรวจหาเชื้อ Treponema pallidum โดยตรง
2. การตรวจน้ำไขสันหลัง (Cerebrospinal Fluid: CSF)
ใช้ในกรณีที่สงสัยว่ามีการติดเชื้อในระบบประสาท (Neurosyphilis) โดยเฉพาะหากผู้ป่วยมีอาการทางระบบประสาท เช่น ปวดศีรษะเรื้อรัง กล้ามเนื้ออ่อนแรง หรือมีปัญหาด้านการมองเห็นและการได้ยิน

ซิฟิลิสไม่ใช่เรื่องไกลตัว รักษาได้หากรู้ทัน
โรคซิฟิลิสสามารถรักษาให้หายขาดได้ หากได้รับการวินิจฉัยและรักษาอย่างทันท่วงที โดยแพทย์จะใช้ ยาปฏิชีวนะเพนิซิลลิน (Penicillin) ซึ่งเป็นวิธีการรักษาหลักและมีประสิทธิภาพสูงในการกำจัดเชื้อ Treponema pallidum ออกจากร่างกาย ทั้งนี้ แพทย์จะประเมินระยะของโรคและให้ยาตามความเหมาะสม เช่น ฉีดยาเพียงครั้งเดียวในระยะแรก หรือฉีดต่อเนื่องในระยะลุกลามมากขึ้น โดยแพทย์จะแนะนำให้ผู้ป่วยงดมีเพศสัมพันธ์ระหว่างการรักษา และให้อีกฝ่ายเข้ารับการตรวจรักษาพร้อมกันเพื่อลดความเสี่ยงการติดเชื้อซ้ำ
หลังการรักษา แพทย์จะนัดติดตามผลเลือดเป็นระยะเพื่อยืนยันว่าร่างกายปลอดเชื้อแล้ว สำหรับผู้ที่แพ้เพนิซิลลิน อาจใช้ยาทางเลือกอื่น เช่น doxycycline หรือ ceftriaxone ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด
แม้ว่าโรคซิฟิลิสจะเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่ดูน่ากังวล แต่ในความเป็นจริงแล้วเป็นโรคที่สามารถป้องกันและรักษาให้หายขาดได้ การหมั่นสังเกตความผิดปกติของร่างกาย ใส่ใจสุขภาพทางเพศ และเข้ารับการตรวจสุขภาพเป็นประจำ จึงเป็นกุญแจสำคัญในการลดความเสี่ยงของการติดเชื้อ หากสงสัยว่าตนเองอาจมีความเสี่ยง หรือพบอาการที่น่าเป็นห่วง อย่ารอช้าที่จะเข้ารับคำปรึกษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมและนัดหมายแพทย์ได้ที่
ศูนย์อายุรกรรม ชั้น 3 โรงพยาบาลวิมุต
เวลาทำการ 08.00 - 20.00 น. โทร. 0-2079-0030
หรือดาวน์โหลด ViMUT Application เพื่อนัดหมายแพทย์ หรือบริการปรึกษาหมอออนไลน์
ทุกปัญหาสุขภาพ ปรึกษาแพทย์เฉพาะทางออนไลน์ ที่พร้อมดูแลคุณด้วยความใส่ใจ
แนะนำแพทย์ที่เกี่ยวข้อง
เรื่องสุขภาพน่ารู้ที่เกี่ยวข้อง

หายป่วยลองโควิดได้ หายขาดด้วยโปรแกรมตรวจสุขภาพหลังเป็นโควิด
โควิดที่ว่าน่ากลัว ยังไม่เท่าลองโควิด มาตรวจเช็กปอดและร่างกายให้เท่าทันโรค กับโปรแกรมตรวจสุขภาพหลังเป็นโควิด เพื่อการฟื้นฟูและการดูแลตัวเองได้อย่างรวดเร็ว

รวมสารพัดเมนูอาหาร เพื่อสุขภาพผู้สูงอายุ
รวมสารพัดเมนูอาหารเพื่อผู้สูงอายุ ควรกินอะไรดี ใครนึกไม่ออก เรารวมให้แล้วที่นี่ กับเมนูอาหารและโภชนาการเพื่อผู้สูงอายุ ที่ช่วยดูแลสุขภาพและบำรุงร่างกายให้แข็งแรงอย่างยั่งยืน

รู้หรือไม่… วัคซีนปอดอักเสบจำเป็นแค่ไหนในผู้สูงอายุ
วัคซีนปอดอักเสบในผู้สูงอายุ จำเป็นต้องฉีดไหม ฉีดแล้วช่วยป้องกันโรคปอดอักเสบได้จริงหรือไม่ มาดูคำตอบได้ที่นี่ว่าทำไมผู้สูงอายุถึงควรฉีดวัคซีนนี้กัน พร้อมแพ็กเกจวัคซีนราคาพิเศษ

6 วัคซีนสำหรับผู้สูงอายุ ที่แนะนำให้ลูกหลานพาไปฉีด
เปิดคำแนะนำการฉีดวัคซีนผู้สูงอายุ วัคซีนอะไรบ้างที่ควรฉีดอัปเดตข้อมูลปี 2566 เพื่อลดอัตราเสี่ยงการเสียชีวิตและบรรเทาอาการหนักให้เบาลง กับ 6 วัคซีนนี้เลยที่เรารวมข้อมูลมาให้แล้ว

หายป่วยลองโควิดได้ หายขาดด้วยโปรแกรมตรวจสุขภาพหลังเป็นโควิด
โควิดที่ว่าน่ากลัว ยังไม่เท่าลองโควิด มาตรวจเช็กปอดและร่างกายให้เท่าทันโรค กับโปรแกรมตรวจสุขภาพหลังเป็นโควิด เพื่อการฟื้นฟูและการดูแลตัวเองได้อย่างรวดเร็ว

รวมสารพัดเมนูอาหาร เพื่อสุขภาพผู้สูงอายุ
รวมสารพัดเมนูอาหารเพื่อผู้สูงอายุ ควรกินอะไรดี ใครนึกไม่ออก เรารวมให้แล้วที่นี่ กับเมนูอาหารและโภชนาการเพื่อผู้สูงอายุ ที่ช่วยดูแลสุขภาพและบำรุงร่างกายให้แข็งแรงอย่างยั่งยืน

รู้หรือไม่… วัคซีนปอดอักเสบจำเป็นแค่ไหนในผู้สูงอายุ
วัคซีนปอดอักเสบในผู้สูงอายุ จำเป็นต้องฉีดไหม ฉีดแล้วช่วยป้องกันโรคปอดอักเสบได้จริงหรือไม่ มาดูคำตอบได้ที่นี่ว่าทำไมผู้สูงอายุถึงควรฉีดวัคซีนนี้กัน พร้อมแพ็กเกจวัคซีนราคาพิเศษ

6 วัคซีนสำหรับผู้สูงอายุ ที่แนะนำให้ลูกหลานพาไปฉีด
เปิดคำแนะนำการฉีดวัคซีนผู้สูงอายุ วัคซีนอะไรบ้างที่ควรฉีดอัปเดตข้อมูลปี 2566 เพื่อลดอัตราเสี่ยงการเสียชีวิตและบรรเทาอาการหนักให้เบาลง กับ 6 วัคซีนนี้เลยที่เรารวมข้อมูลมาให้แล้ว

รู้หรือไม่… วัคซีนปอดอักเสบจำเป็นแค่ไหนในผู้สูงอายุ
วัคซีนปอดอักเสบในผู้สูงอายุ จำเป็นต้องฉีดไหม ฉีดแล้วช่วยป้องกันโรคปอดอักเสบได้จริงหรือไม่ มาดูคำตอบได้ที่นี่ว่าทำไมผู้สูงอายุถึงควรฉีดวัคซีนนี้กัน พร้อมแพ็กเกจวัคซีนราคาพิเศษ

6 วัคซีนสำหรับผู้สูงอายุ ที่แนะนำให้ลูกหลานพาไปฉีด
เปิดคำแนะนำการฉีดวัคซีนผู้สูงอายุ วัคซีนอะไรบ้างที่ควรฉีดอัปเดตข้อมูลปี 2566 เพื่อลดอัตราเสี่ยงการเสียชีวิตและบรรเทาอาการหนักให้เบาลง กับ 6 วัคซีนนี้เลยที่เรารวมข้อมูลมาให้แล้ว

หายป่วยลองโควิดได้ หายขาดด้วยโปรแกรมตรวจสุขภาพหลังเป็นโควิด
โควิดที่ว่าน่ากลัว ยังไม่เท่าลองโควิด มาตรวจเช็กปอดและร่างกายให้เท่าทันโรค กับโปรแกรมตรวจสุขภาพหลังเป็นโควิด เพื่อการฟื้นฟูและการดูแลตัวเองได้อย่างรวดเร็ว

รวมสารพัดเมนูอาหาร เพื่อสุขภาพผู้สูงอายุ
รวมสารพัดเมนูอาหารเพื่อผู้สูงอายุ ควรกินอะไรดี ใครนึกไม่ออก เรารวมให้แล้วที่นี่ กับเมนูอาหารและโภชนาการเพื่อผู้สูงอายุ ที่ช่วยดูแลสุขภาพและบำรุงร่างกายให้แข็งแรงอย่างยั่งยืน