ในยุคที่ทุกอย่างต้องรวดเร็วทันใจ การฝังยาคุมกำเนิด ได้กลายเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับการวางแผนครอบครัวสำหรับคู่รักหลายๆ คู่ ด้วยเพราะเป็นวิธีคุมกำเนิดที่ให้ผลระยะยาวที่ทั้งสะดวก ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพสูง แม้จะเป็นที่นิยมมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าหลายคนก็ยังคงมีความกังวลใจ บทความนี้จะพาไปเจาะลึกทุกข้อสงสัยเกี่ยวกับการฝังยาคุมกำเนิด เพื่อการวางแผนครอบครัวที่สมบูรณ์แบบ!
รวมคำถาม-คำตอบเกี่ยวกับการฝังยาคุมกำเนิดที่คุณผู้หญิงต้องรู้!
1. การฝังยาคุมกำเนิดกำเนิดคืออะไร ?
การฝังยาคุมกำเนิด (Implant contraceptive) เป็นวิธีคุมกำเนิดแบบฮอร์โมนโปรเจสติน (Progestin)ที่ให้ผลยาวนาน โดยแพทย์จะฝังแท่งยาขนาดเล็ก ไว้ใต้ผิวหนังบริเวณท้องแขนด้านใน ซึ่งฮอร์โมนนี้จะค่อยๆ ปล่อยเข้าสู่กระแสเลือดอย่างช้าๆ ออกฤทธิ์ยับยั้งการตกไข่ ทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกบางตัวลงไม่เหมาะแก่การฝังตัวของตัวอ่อน ซึ่งสามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
2. ใครเหมาะกับการฝังยาคุมกำเนิดบ้าง ?
โดยทั่วไปการฝังยาคุมกำเนิดจะแนะนำในผู้หญิงที่อยู่ในวัยเจริญพันธุ์ ดังนี้
- ผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์ที่ต้องการคุมกำเนิดระยะยาว 3-5 ปี หรือนานกว่านั้น
- ผู้ที่ไม่สะดวกกินยาคุมกำเนิดทุกวัน หรือไม่สะดวกฉีดยาคุมกำเนิดทุก 1-3 เดือน
- คุณแม่หลังคลอด แนะนำใช้ได้ตั้งแต่ 6 สัปดาห์หลังคลอด
- ผู้ที่ไม่มีข้อห้ามทางสุขภาพเกี่ยวกับฮอร์โมนโปรเจสติน
3. การฝังยาคุมกำเนิดมีกี่ประเภท ?
ในประเทศไทย ปัจจุบันการฝังยาคุมกำเนิดมี 2 แบบ ได้แก่
- Implanon NXT®
- มี 1 แท่ง
- ให้ฮอร์โมน etonogestrel
- คุมกำเนิดได้นาน 3 ปี - Jadelle®
- มี 2 แท่ง
- ให้ฮอร์โมน levonorgestrel
- คุมกำเนิดได้นาน 5 ปี
โดยทั้ง 2 ชนิด มีประสิทธิภาพสูงเทียบเท่ากัน เลือกใช้ได้ตามความเหมาะสมของร่างกายและคำแนะนำของแพทย์
4. ข้อดี-ข้อเสีย และผลข้างเคียงของการฝังยาคุมกำเนิด ?
ข้อดีของการฝังยาคุมกำเนิด
- คุมกำเนิดได้ยาวนาน ลดความกังวลเรื่องการตั้งครรภ์โดยไม่ตั้งใจ และไม่ต้องกังวลเรื่องการลืมรับประทานยา
- มีประสิทธิภาพสูง สามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้มากกว่า 99%
- ไม่รบกวนการมีเพศสัมพันธ์ แตกต่างจากวิธีอื่นๆ เช่น การใช้ถุงยางอนามัย หรือห่วงอนามัย
- กลับมาตั้งครรภ์ได้เร็ว หลังจากเอาหลอดยาคุมกำเนิดที่ฝังออก ร่างกายจะสามารถกลับมาตกไข่ได้ตามปกติ ภายในระยะเวลาไม่นาน
ข้อเสียและผลข้างเคียงที่อาจพบ
- ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ หรือประจำเดือนขาด ซึ่งพบได้บ่อย โดยเฉพาะในช่วงปีแรกๆ หลังการฝังยาคุมกำเนิด
- เลือดออกกะปริดกะปรอย เป็นผลข้างเคียงที่พบได้ แต่หากมีเลือดออกมากผิดปกติควรรีบพบแพทย์
- อาการข้างเคียงจากฮอร์โมน เช่น ปวดหัว คัดหน้าอก น้ำหนักเปลี่ยน อารมณ์แปรปรวน
- ไม่สามารถหยุดใช้ได้ด้วยตัวเอง เพราะการนำหลอดยาคุมกำเนิดออกต้องทำโดยแพทย์เท่านั้น
- อาจมีรอยช้ำ หรือเจ็บบริเวณที่ฝังยาหลังทำหัตถการ 1 - 2 สัปดาห์
5. หลังฝังยาคุมกำเนิด ควรต้องคุมกำเนิดต่ออีกกี่วัน
หากฝังยาคุมกำเนิดกำเนิดภายใน 1 - 5 วัน นับจากวันแรกที่มีประจำเดือนมา ยาคุมกำเนิดกำเนิดก็จะออกฤทธิ์ในการป้องกันการตั้งครรภ์ได้ทันที แต่หากไม่ได้เริ่มฝังยาคุมกำเนิดกำเนิดภายใน 1 - 5 วัน นับจากวันแรกที่มีประจำเดือนมา ยาฝังคุมกำเนิดก็จะยังไม่สามารถออกฤทธิ์ในการป้องกันการตั้งครรภ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงควรรออย่างน้อย 7 วันเพื่อให้ยาได้เริ่มออกฤทธิ์ก่อน
6. ฝังยาคุมกำเนิดแล้วมีโอกาสตั้งครรภ์ได้ไหม? ป้องกันได้กี่เปอร์เซ็นต์?
ยาฝังคุมกำเนิดถือว่ามีประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์สูงมาก โดยมีโอกาสล้มเหลวที่ทำให้เกิดการตั้งครรภ์ไม่เกิน 0.05 - 0.1%
7. ขั้นตอนการฝังยาคุมกำเนิด มีอะไรบ้าง?
กระบวนการฝังยาคุมกำเนิดนั้นไม่ซับซ้อน โดยทั่วไปมีขั้นตอน ดังนี้
- ปรึกษาแพทย์ ซักประวัติ ตรวจร่างกาย และยืนยันว่าไม่ตั้งครรภ์
- แพทย์จะทำความสะอาดผิวด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ ก่อนฉีดยาชาบริเวณใต้ต้นแขนด้านในข้างที่ไม่ถนัด
- หลังยาชาออกฤทธิ์ ฝังแท่งยาคุมใต้ผิวหนัง โดยใช้เวลาประมาณ 5-10 นาที
- ปิดแผลด้วยเทปปิดแผลแบบกันน้ำ และผ้าพันแผลห้ามเลือด
- หลังทำ อาจมีรอยช้ำบริเวณที่ฝังยาได้ ควรหลีกเลี่ยงการยกของหนักใน 1-2 วันแรก
8. การดูแลตัวเองหลังฝังยาคุมกำเนิด?
ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด เพื่อลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นภายหลัง ดังนี้
- 24 ชั่วโมงแรก หลังจากการฝังยาคุมกำเนิดสามารถนำผ้าพันแผลห้ามเลือดออกได้ โดยยังติดเทปปิดแผลแบบกันน้ำไว้ตามคำแนะนำของแพทย์
- 7 วัน สามารถนำเทปปิดแผลแบบกันน้ำออกได้ แต่ควรหลีกเลี่ยงการแช่น้ำหรือให้แผลโดนน้ำ และควรไปพบแพทย์ตามนัดหมาย เพื่อตรวจดูบริเวณที่ฝังยาคุมกำเนิดว่าไม่มีการอักเสบหรืออาการแทรกซ้อนใดๆ
- 3 - 5 ปี ควรไปพบแพทย์เมื่อครบกำหนด เพื่อเปลี่ยนยาคุมกำเนิดกำเนิดแท่งใหม่ เนื่องจากประสิทธิภาพของยาคุมกำเนิดจะลดลงเมื่อเวลาผ่านไป
9. ถ้าต้องการมีลูก ถอดยาคุมกำเนิดแล้วมีบุตรได้เลยไหม?
หลังจากถอดหลอดยาคุมกำเนิด ร่างกายจะปรับลดระดับฮอร์โมนลงอย่างรวดเร็ว ทำให้สามารถกลับเข้าสู่ภาวะปกติและกลับมาตกไข่ได้ภายใน 1 - 3 เดือน ซึ่งหากไม่มีปัญหาเรื่องมดลูกหรือรังไข่อยู่เดิม ก็จะสามารถกลับมาตั้งครรภ์ได้
การฝังยาคุมกำเนิดเป็นเพียงหนึ่งในหลากหลายวิธีสำหรับการคุมกำเนิด ซึ่งแต่ละวิธีก็มีข้อดี ข้อเสีย และความเหมาะสมที่แตกต่างกันออกไป ดังนั้น ก่อนตัดสินใจเลือกวิธีใด ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญเพื่อขอคำแนะนำและประเมินความเหมาะสมสำหรับตนเองมากที่สุด เพื่อสุขภาพที่ดีและการวางแผนครอบครัวที่สมบูรณ์แบบ
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมและนัดหมายแพทย์ได้ที่
ศูนย์สูตินรีเวช ชั้น 3 โรงพยาบาลวิมุต
เวลาทำการ 08:00 - 20:00 น. โทร. 0-2079-0066
หรือดาวน์โหลด ViMUT Application เพื่อนัดหมายแพทย์ หรือบริการปรึกษาหมอออนไลน์
ทุกปัญหาสุขภาพ ปรึกษาแพทย์เฉพาะทางออนไลน์ ที่พร้อมดูแลคุณด้วยความใส่ใจ
แนะนำแพทย์ที่เกี่ยวข้อง

ฉันทศาสตร์รัศมี

ฉันทศาสตร์รัศมี

ฉันทศาสตร์รัศมี

ฉันทศาสตร์รัศมี

ฉันทศาสตร์รัศมี

ฉันทศาสตร์รัศมี