ท้องนอกมดลูก ภัยเงียบของการตั้งครรภ์ที่ต้องคุณแม่ควรรู้ให้ทัน

30 มิ.ย. 68  | ศูนย์สูตินรีเวช
แชร์บทความ      

ผู้หญิงเราเมื่อรู้ว่าตนเองกำลังตั้งครรภ์ความสุขและความตื่นเต้นคือความรู้สึกแรกที่สัมผัสได้ แต่ในบางครั้ง… การตั้งครรภ์ก็อาจมีความผิดปกติเกิดขึ้นได้ หนึ่งในภาวะที่อันตรายและต้องได้รับการดูแลอย่างทันท่วงทีคือ ‘การตั้งครรภ์นอกมดลูก หรือท้องนอกมดลูก’ เป็นภาวะที่ตัวอ่อนไม่ได้ฝังตัวในตำแหน่งที่ควรจะเป็น ซึ่งอาจทำให้การตั้งครรภ์ไม่สามารถดำเนินต่อไปได้ และส่งผลกระทบต่อสุขภาพของหญิงตั้งครรภ์อย่างมาก 

วันนี้เราจะพาคุณไปทำความเข้าใจภาวะท้องนอกมดลูก ทั้งอาการตั้งครรภ์ หรือท้องนอกมดลูกที่คุณแม่ควรสังเกต รวมถึงสาเหตุและแนวทางการรักษา พร้อมกับความหวังในการตั้งครรภ์ครั้งต่อไปกัน

ตั้งครรภ์ หรือท้องนอกมดลูก คืออะไร ?

โดยปกติการตั้งครรภ์จะเกิดขึ้นหลังจากการปฏิสนธิระหว่างไข่กับอสุจิที่มักเกิดขึ้นที่ท่อนำไข่ และเกิดการแบ่งเซลล์จนกลายเป็นตัวอ่อน ก่อนจะเดินทางมาฝังตัวที่เยื่อบุโพรงมดลูก แต่สำหรับการตั้งครรภ์นอกมดลูก หรือท้องนอกมดลูก (Ectopic Pregnancy) ตัวอ่อนเกิดการฝังตัวที่ตำแหน่งอื่น ที่ไม่ใช่โพรงมดลูก เช่น รังไข่ ปลายรังไข่ ปากมดลูก หรือในช่องท้อง แต่ตำแหน่งที่พบบ่อยที่สุดคือ ภายในท่อนำไข่ (มากกว่า 90%)

ทำไมตั้งครรภ์นอกมดลูกถึงอันตราย ? เพราะท่อนำไข่ หรือตำแหน่งอื่นๆ ไม่ได้ถูกออกแบบมาให้อุ้มท้อง ตัวอ่อนไม่สามารถเจริญเติบโตได้ตามปกติ และที่สำคัญหากตัวอ่อนโตขึ้นเรื่อยๆ อาจทำให้อวัยวะอื่นๆ เสียหาย หรือท่อนำไข่แตก มีภาวะเลือดออกในช่องท้อง อาจทำให้เกิดภาวะช็อก และเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้

สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงการตั้งครรภ์นอกมดลูก เกิดจากอะไร ?

สาเหตุหลักของการตั้งครรภ์นอกมดลูก มักเกี่ยวข้องกับความผิดปกติของท่อนำไข่ ซึ่งอาจเกิดจากปัจจัยเสี่ยง ดังนี้

  • ท่อรังไข่ผิดปกติ ท่อนำไข่ผิดรูปโดยกำเนิด หรืออาจเกิดจากการติดเชื้อบริเวณอุ้งเชิงกรานหรือในช่องท้อง เช่น อุ้งเชิงกรานอักเสบ ปีกมดลูกอักเสบ ไส้ติ่งอักเสบและแตก เป็นต้น  เคยได้รับการผ่าตัดบริเวณท่อนำไข่มาก่อน 
  • เคยมีประวัติการตั้งครรภ์นอกมดลูกมาก่อน เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดซ้ำ
  • การมีบุตรยาก หรือได้รับการรักษาด้วยเทคโนโลยีช่วยเจริญพันธุ์ การรักษาบางอย่าง เช่น การทำเด็กหลอดแก้ว อาจเพิ่มความเสี่ยงได้
  • การสูบบุหรี่ สารนิโคตินในบุหรี่สามารถส่งผลต่อการทำงานของท่อนำไข่
  • อายุมาก ผู้หญิงที่ตั้งครรภ์เมื่ออายุ 35 ปีขึ้นไป มีความเสี่ยงสูงขึ้น
  • การใช้ยาคุมกำเนิดบางชนิด เช่น ห่วงอนามัย หรือการคุมกำเนิดแบบฉุกเฉิน (แม้จะหายากมาก แต่ถ้าตั้งครรภ์ขณะที่ยังใช้ห่วงหรือหลังใช้ยาคุมฉุกเฉิน มักจะเป็นการตั้งครรภ์นอกมดลูก)

การวินิจฉัยภาวะตั้งครรภ์นอกมดลูก 

การวินิจฉัยการตั้งครรภ์นอกมดลูกเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ซึ่งแพทย์จะใช้หลายวิธีร่วมกันเพื่อการวินิจฉัยที่แม่นยำและสามารถวางแผนการรักษาได้อย่างรวดเร็วที่สุด ดังนี้

1. การซักประวัติและตรวจร่างกาย

  • ประวัติประจำเดือน ถามถึงวันแรกของประจำเดือนครั้งสุดท้าย การขาดประจำเดือน หรือประจำเดือนมาผิดปกติ
  • อาการและอาการแสดง
    • ปวดท้องน้อย เป็นอาการที่พบบ่อยที่สุด อาจปวดข้างเดียว หรือปวดร้าวไปถึงทวารหนัก ต้นขา หรือไหล่ (โดยเฉพาะไหล่ มักบ่งบอกถึงการมีเลือดออกในช่องท้องไปกดทับกระบังลม)
    • เลือดออกทางช่องคลอดผิดปกติในช่วงไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์ อาจมีเลือดออกกระปริดกระปรอย สีแดงคล้ำ หรือเลือดสีน้ำตาล ซึ่งแตกต่างจากประจำเดือนปกติ
    • อาการของการตั้งครรภ์ เช่น คลื่นไส้ อาเจียน คัดเต้านม อ่อนเพลีย (เนื่องจากยังคงมีการสร้างฮอร์โมนการตั้งครรภ์)
    • อาการหน้ามืด เวียนศีรษะ เป็นลม หรือภาวะช็อก บ่งชี้ถึงการเสียเลือดภายในช่องท้องอย่างรุนแรง ซึ่งเป็นภาวะฉุกเฉิน
  • การตรวจร่างกาย
    • การตรวจหน้าท้อง คลำดูว่ามีอาการกดเจ็บ บวม หรือคลำได้ก้อนผิดปกติหรือไม่
    • การตรวจภายใน (Pelvic Exam) แพทย์จะตรวจดูอาการเลือดออกทางช่องคลอด ลักษณะปากมดลูก และคลำปีกมดลูกเพื่อหาสิ่งผิดปกติ 

2. การตรวจทางห้องปฏิบัติการ

  • การตรวจระดับฮอร์โมน Beta-hCG ในเลือด (Quantitative Beta-hCG) เป็นวิธีที่สำคัญที่สุดในการยืนยันการตั้งครรภ์และช่วยวินิจฉัยภาวะนี้
    • โดยหากมีการตั้งครรภ์จะตรวจพบระดับ Beta-hCG จะสูงขึ้น 
    • จากนั้นแพทย์จะทำการตรวจซ้ำเป็นระยะ (serial Beta-hCG) เพื่อดูแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน หากตั้งครรภ์นอกมดลูกระดับการเพิ่มขึ้นของ Beta-hCG มักจะช้ากว่าปกติ (เช่น เพิ่มขึ้นน้อยกว่า 66% ใน 48 ชั่วโมง) หรือลดลง (ในกรณีที่ตัวอ่อนฝ่อไปแล้ว)
  • การตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด (Complete Blood Count - CBC) เพื่อประเมินภาวะซีด หรือการเสียเลือด

3. การตรวจด้วยภาพวินิจฉัย

  • การอัลตราซาวด์ผ่านทางช่องคลอด (Transvaginal Ultrasound - TVS)
    • เป็นวิธีมาตรฐานและมีประสิทธิภาพสูงในการวินิจฉัยการตั้งครรภ์นอกมดลูก
    • หากไม่พบถุงการตั้งครรภ์ หรือตัวอ่อนในโพรงมดลูก แต่พบถุงการตั้งครรภ์ หรือก้อนผิดปกติที่บริเวณปีกมดลูก หรือมีของเหลวในช่องท้อง (บ่งบอกถึงเลือดออก) จะช่วยสนับสนุนการวินิจฉัยได้ชัดเจนขึ้น

4. การวินิจฉัยเพิ่มเติมอื่นๆ

  • ผ่าตัดผ่านกล้องทางนรีเวชบริเวณอุ้งเชิงกรานเพื่อการวินิจฉัย (Laparoscopic Diagnostic) เป็นการผ่าตัดผ่านกล้องขนาดเล็กเข้าไปในอุ้งเชิงกราน ทำในกรณีที่การวินิจฉัยยังไม่แน่ชัด หรือในกรณีที่สงสัยว่ามีการแตกของท่อนำไข่และต้องการการรักษาทันที วิธีนี้ช่วยให้แพทย์สามารถมองเห็นอวัยวะภายในได้โดยตรงและสามารถทำการรักษาได้ในเวลาเดียวกัน
  • การเจาะช่องท้องดูของเหลว (Culdocentesis) เป็นการเจาะเอาของเหลวจากช่องท้องส่วนล่าง (posterior cul-de-sac) เพื่อดูว่ามีเลือดออกภายในช่องท้องหรือไม่ ปัจจุบันไม่นิยมใช้เท่าการอัลตราซาวด์
  • การขูดมดลูก (D&C - Dilatation and Curettage) อาจทำในกรณีที่สงสัยภาวะแท้งครบ หรือแท้งไม่ครบ แต่ถ้าหลังจากการขูดมดลูกแล้วระดับ Beta-hCG ยังคงสูงขึ้น แสดงว่าเป็นการตั้งครรภ์นอกมดลูก

แนวทางการรักษาเมื่อตั้งครรภ์นอกมดลูกทำอย่างไรบ้าง ?

การทำความเข้าใจที่สำคัญที่สุดของการตั้งครรภ์นอกมดลูกนั้น คือ ตัวอ่อนไม่สามารถเจริญเติบโตต่อไปเป็นทารกที่สมบูรณ์ได้ และไม่สามารถย้ายตัวอ่อนเข้าไปในโพรงมดลูกได้ ที่สำคัญคือหากปล่อยทิ้งไว้จะเป็นอันตรายร้ายแรงถึงชีวิตต่อตัวคุณแม่เอง ดังนั้น จึงจำเป็นที่จะยุติการตั้งครรภ์ เพื่อความปลอดภัยของคุณแม่ โดยการรักษาการตั้งครรภ์นอกมดลูกขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ระดับฮอร์โมน Beta-hCG ขนาดของก้อนการตั้งครรภ์ มีภาวะเลือดออกในช่องท้องหรือไม่ สภาพร่างกายของผู้ป่วย และความต้องการที่จะมีบุตรในอนาคต โดยมีทางเลือกในการรักษา ดังนี้

  1. การเฝ้าสังเกต (Expectant Management) เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการน้อยหรือไม่แสดงอาการเลย และเข้าเกณฑ์ดังต่อไปนี้
  • ระดับ Beta-hCG ต่ำ (มักจะน้อยกว่า 1,000-1,500 mIU/mL) และมีแนวโน้มลดลงเอง
  • ไม่มีก้อนการตั้งครรภ์ที่ใหญ่ หรือไม่พบการเต้นของหัวใจทารกจากการอัลตราซาวด์
  • ไม่มีภาวะเลือดออกในช่องท้อง
  • ผู้ป่วยสามารถกลับมาติดตามอาการกับแพทย์ได้อย่างสม่ำเสมอ

โดยแพทย์จะติดตามระดับ Beta-hCG ซ้ำทุก 2 วัน และอัลตราซาวด์เป็นระยะ หากระดับฮอร์โมนไม่ลดลง หรือมีอาการมากขึ้น อาจต้องเปลี่ยนไปรักษาวิธีอื่น

  1. การรักษาด้วยยา กรณีนี้จะสามารถใช้ได้ต่อเมื่อตรวจพบเร็ว มีอาการน้อยและเข้าเกณฑ์ดังต่อไปนี้
  • ก้อนตัวอ่อนยังมีขนาดเล็กและระดับฮอร์โมน hCG ไม่สูงมาก 
  • ไม่พบการเต้นของหัวใจทารกจากการอัลตราซาวด์ 
  • ไม่มีภาวะเลือดออกในช่องท้อง 
  • ผู้ป่วยไม่มีข้อห้ามในการใช้ยา เช่น โรคตับ โรคไต โรคเลือด หรือภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง 
  • ผู้ป่วยสามารถกลับมาติดตามอาการกับแพทย์ได้อย่างสม่ำเสมอ

โดยแพทย์จะฉีดยาเพื่อหยุดการเจริญเติบโตของเซลล์ตัวอ่อน ทำให้ฝ่อไปเอง หลังฉีดยาผู้ป่วยจะต้องติดตามระดับ Beta-hCG อย่างใกล้ชิด โดยทั่วไปจะตรวจซ้ำในวันที่ 4 และวันที่ 7 หลังฉีด เพื่อดูว่าระดับฮอร์โมนลดลงตามเป้าหมายหรือไม่ หากระดับฮอร์โมนไม่ลดลงตามที่คาดไว้ อาจต้องฉีดยาซ้ำ หรือพิจารณาการผ่าตัด

  1. การรักษาด้วยการผ่าตัด 
  • การผ่าตัดผ่านกล้อง: เป็นวิธีที่นิยม แผลเล็ก ฟื้นตัวเร็ว
  • การผ่าตัดเปิดหน้าท้อง: ใช้ในกรณีฉุกเฉิน หรือมีพังผืดมาก

โดยจะมีการพิจารณาผ่าตัดในกรณีดังต่อไปนี้

  • มีการแตกของท่อนำไข่ หรือมีภาวะเลือดออกในช่องท้องอย่างรุนแรง ซึ่งเป็นภาวะฉุกเฉินและอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต
  • ผู้ป่วยมีอาการไม่คงที่ เช่น มีภาวะช็อก
  • ระดับ Beta-hCG สูง 
  • ขนาดก้อนการตั้งครรภ์ใหญ่ หรือเห็นหัวใจของตัวอ่อนจากการตรวจอัลตราซาวด์
  • การรักษาด้วยยาไม่สำเร็จ
  • ผู้ป่วยไม่สามารถมาติดตามอาการได้อย่างสม่ำเสมอ

 

ข้อความถึงคุณแม่: การรับมือกับการวินิจฉัยและการรักษาภาวะตั้งครรภ์ หรือท้องนอกมดลูกอาจเป็นเรื่องที่ยากลำบากทางอารมณ์ ทั้งความเสียใจ ความผิดหวังและความกังวล ขอให้คุณแม่รู้ว่าคุณไม่ได้เผชิญปัญหานี้เพียงลำพัง การพูดคุยกับแพทย์ คนรัก ครอบครัว หรือขอรับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต สามารถช่วยเยียวยาและประคับประคองจิตใจในช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ได้ เราขอเป็นกำลังใจให้คุณแม่ทุกคนที่ต้องเผชิญกับสถานการณ์นี้

 
 
เคยท้องนอกมดลูกแล้ว จะยังมีลูกได้อีกไหม ?
โดยทั่วไปแล้วหากเคยตั้งครรภ์ หรือท้องนอกมดลูกมาก่อน ‘ยังสามารถมีลูกได้อีก’ แต่โอกาสอาจลดลงบ้างขึ้นอยู่กับปัจจัยเหล่านี้
  • สภาพของท่อนำไข่ หากยังทำงานได้ดี โอกาสตั้งครรภ์ปกติก็ยังมีสูง
  • วิธีการรักษา การรักษาด้วยยา หรือการผ่าตัดแบบเก็บท่อนำไข่ อาจมีโอกาสตั้งครรภ์ในอนาคตสูงกว่าการตัดท่อนำไข่ออก
  • สาเหตุของการท้องนอกมดลูกครั้งก่อน หากสาเหตุยังไม่ได้รับการแก้ไข เช่น อุ้งเชิงกรานอักเสบ ความเสี่ยงการท้องนอกมดลูกก็อาจยังอยู่
  • ปัจจัยอื่นๆ อายุ สุขภาพโดยรวม

สิ่งสำคัญผู้ที่เคยท้องนอกมดลูกต้องทราบคือยังมีความเสี่ยงที่จะท้องนอกมดลูกซ้ำสูงขึ้น ดังนั้น หากตั้งครรภ์ครั้งต่อไป จำเป็นต้องรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจยืนยันตำแหน่งการตั้งครรภ์แต่เนิ่นๆ

การตั้งครรภ์ หรือท้องนอกมดลูกแม้ว่าจะไม่มีการป้องกันได้ 100% แต่สามารถลดความเสี่ยงการติดเชื้อจนทำให้เกิดการอักเสบในอุ้งเชิงกรานซึ่งเป็นสาเหตุของการตั้งครรภ์นอกมดลูกได้ด้วยการใช้ถุงยางอนามัยป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ งดสูบบุหรี่ หากมีอาการที่สงสัยภาวะตั้งครรภ์นอกมดลูกดังที่ได้กล่าวไป แนะนำให้รีบปรึกษาแพทย์ รวมถึงรีบฝากครรภ์เร็วเมื่อทราบว่าตั้งครรภ์เพื่อให้ได้รับการวินิจฉัยได้เร็ว และรักษาได้เร็ว ไม่เพียงแต่ช่วยรักษาชีวิตของคุณแม่ แต่ยังอาจช่วยรักษาท่อนำไข่ เพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์ครั้งต่อไปได้

 

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมและนัดหมายแพทย์ได้ที่

ศูนย์สูตินรีเวช ชั้น 3 โรงพยาบาลวิมุต

เวลาทำการ 08:00 - 20:00 น. โทร. 0-2079-0066

หรือดาวน์โหลด ViMUT Application เพื่อนัดหมายแพทย์ หรือบริการปรึกษาหมอออนไลน์

ทุกปัญหาสุขภาพ ปรึกษาแพทย์เฉพาะทางออนไลน์ ที่พร้อมดูแลคุณด้วยความใส่ใจ

ผู้เขียน
พญ.พรรณลดา ฉันทศาสตร์รัศมี

แนะนำแพทย์ที่เกี่ยวข้อง

Card Image
พญ.พรรณลดา
ฉันทศาสตร์รัศมี
สูตินรีแพทย์

เรื่องสุขภาพน่ารู้ที่เกี่ยวข้อง

Card Image
คุณแม่มือใหม่ ต้องเตรียมตัวอย่างไรหลังคลอด ?

ใกล้เวลาได้พบเจอกัน แต่คุณแม่มือใหม่จำนวนไม่น้อยที่ไม่รู้ว่าต้องเตรียมตัวอะไรบ้าง กับสิ่งที่ต้องเจอหลังคลอดลูก ที่นี่เราได้รวมข้อมูลเพื่อคุณแม่มือใหม่มาให้แล้ว

อ่านเพิ่มเติม
Card Image
ไขข้อข้องใจ ทำไมผู้หญิงถึงควรฉีดวัคซีนมะเร็งปากมดลูก ?

วัคซีนมะเร็งปากมดลูก ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งมดลูกได้จริงไหม จำเป็นแค่ไหน ทำไมต้องฉีด

อ่านเพิ่มเติม
Card Image
4 มะเร็งร้ายที่ผู้หญิงต้องระวัง พร้อมโปรแกรมตรวจสุขภาพผู้หญิง

เช็กให้ชัวร์เพื่อสุขภาพของผู้หญิงทุกคน กับ 4 มะเร็งร้ายทำลายชีวิต ที่สาวๆ ต้องหมั่นสังเกต พร้อมโปรแกรมตรวจสุขภาพผู้หญิงปี 2567 ราคาพิเศษจาก รพ. วิมุต

อ่านเพิ่มเติม
Card Image
ก้าวสู่ชีวิตคู่อย่างมั่นใจ “ตรวจสุขภาพก่อนแต่งงาน”

เริ่มต้นชีวิตคู่ที่สมบูรณ์แบบพร้อมสุขภาพดีไปด้วยกัน กับการตรวจสุขภาพก่อนแต่งงาน หลายคนอาจสงสัยว่าจำเป็นหรือไม่และต้องตรวจอะไรบ้าง เรามีคำตอบมาให้แล้วที่นี่

อ่านเพิ่มเติม