“ไข้เลือดออก” ภัยเงียบจากยุงลายที่คุณมองข้าม

13 มิ.ย. 66  | ศูนย์กุมารเวช
แชร์บทความ      

ไข้เลือดออก” ภัยเงียบจากยุงลายที่คุณมองข้าม

โรคไข้เลือดออกนับว่าเป็นโรคสุดฮิตที่มักจะมาพร้อมกับหน้าฝน ที่มีพาหะสำคัญมาจากยุงลาย โดยเฉพาะหน้าฝนที่มีน้ำขังตามบริเวณต่างๆ ยิ่งทำให้ยุงเพิ่มจำนวนขึ้นได้อย่างรวดเร็ว โอกาสในการแพร่ระบาดจึงเพิ่มมากขึ้น ซึ่งสามารถพบได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ อาการแรกเริ่มของโรคไข้เลือดออกแทบจะเหมือนไข้หวัดทั่วไปจนทำให้แยกอาการได้ยาก แต่โรคนี้หากมีอาการรุนแรงสามารถส่งผลถึงชีวิตได้เช่นกัน การเฝ้าระวังและป้องกันจึงเป็นสิ่งสำคัญ วันนี้เรามาทำความเข้าใจโรคนี้ให้มากขึ้นเพื่อหาแนวทางในการรับมือและป้องกันได้อย่างถูกต้อง

Q : สาเหตุของโรคไข้เลือดออกมาจากอะไร ?

A : โรคไข้เลือดออก เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเดงกี (Dengue  Virus) มีทั้งหมด 4 สายพันธุ์  ติดต่อโดยมียุงลายตัวเมียเป็นพาหะนำโรค โดยการติดเชื้อไวรัสเกิดจากยุงลายตัวเมียกัดและดูดเลือดของผู้ที่เป็นโรคไข้เลือดออกก่อน หลังจากนั้นยุงลายตัวเดิมบินไปกัดคนที่อยู่ในระยะทางไม่เกิน 400 เมตร เชื้อดังกล่าวก็จะแพร่เข้าสู่คนที่ถูกกัดได้ทันที ซึ่งเชื้อไวรัสเดงกีมีระยะฟักตัวในคน ประมาณ 3-14 วัน

Q : อาการของโรคไข้เลือดออกมีอะไรบ้าง ?

A : 1. ไข้สูงเกิน 38-40 องศาเซลเซียส 

      2. อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ ปวดกระบอกตา ปวดเมื่อยตามตัว ปวดท้อง

      3. มีหน้าแดง และอาจมีผื่นหรือจุดเลือดออกตามลำตัว แขน ขา

      4. คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร 

      5. ถ้ามีภาวะเกล็ดเลือดต่ำ อาการมักจะรุนแรงกว่าคนที่ไม่มีภาวะเกล็ดเลือดต่ำ 

      6. อาจมีอาการช็อกตามมาหากอาการรุนแรงมาก 

ทั้งอาการดังกล่าวไม่จำเป็นต้องมีครบทุกอาการและในผู้ป่วยแต่ละคนอาจจะอาการหนัก-เบาต่างกันได้ 

Q : มีวิธีการป้องกันโรคไข้เลือดออกไหม ?

A : ปัจจุบันยังไม่มีตัวยาไหนที่สามารถจำกัดเชื้อไวรัสเดงกีได้ ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายจะฆ่าเชื้อเอง แต่สามารถป้องกันได้ด้วยการฉีดวัคซีนป้องกันไข้เลือดออก และป้องกันไม่ให้ถูกยุงลายกัด รวมกับทำลายแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย

Q : การฉีดวัคซีนป้องกันไข้เลือดออก ฉีดแล้วดีอย่างไร ?

A : การฉีดวัคซีนป้องกันไข้เลือดออกสามารถป้องกันโรคไข้เลือดออกทุกสายพันธุ์ได้ถึง 80.2% ซึ่งจะช่วยลดการนอนโรงพยาบาลได้ถึง 90.4% อีกทั้งก่อนฉีดไม่จำเป็นต้องตรวจเลือดหาภูมิคุ้มกันและสามารถฉีดได้ทั้งผู้ที่เคยเป็นและไม่เคยเป็นโรคไข้เลือดออกมาก่อนได้อีกด้วย

 

โปรโมชันราคาพิเศษ !! 

แพ็กเกจวัคซีนป้องกันไข้เลือดออก สำหรับผู้อายุ 15 ปีขึ้นไป คลิกที่นี่

 

Q : โรคไข้เลือดออกมีวิธีการรักษาอย่างไรบ้าง ?

A : แม้จะเป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อแต่ยังไม่มียาที่สามารถฆ่าเชื้อได้ จึงควรรักษาตามอาการที่เกิดขึ้นและเฝ้าระวัง อาการไข้เลือดออกแบบรุนแรง

Q : โรคไข้เลือดออกมีอาการแบบไหนถึงเรียกว่าอยู่ในระดับรุนแรง

A : มีเกล็ดเลือดต่ำ อาการเลือดออกรุนแรง เลือดกำเดาไหลออกหรือเลือดออกตามไรฟัน และมีการถ่ายอุจจาระดำเนื่องจากเลือดออก ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการช็อกตามมาได้  ภาวะช็อกจากไข้เลือดออกเกิดจากเกิดจากการที่สารน้ำในหลอดเลือดรั่วออกไปนอกหลอดเลือด สามารถทำให้ความดันโลหิตต่ำ จนทําให้เกิดภาวะล้มเหลวของอวัยวะต่างๆ โดยเฉพาะไตและตับ ซึ่งส่งผลรุนแรงถึงขั้นทําให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้ 

Q : โรคไข้เลือดออกเป็นแล้วสามารถกลับมาเป็นอีกได้หรือไม่ ?

A : สามารถกลับมาเป็นซ้ำได้เพราะเชื้อไวรัสสามารถติดซ้ำได้หลายครั้ง และยังมีถึง 4 ชนิดด้วยกัน เมื่อติดเชื้อสายพันธุ์ใดแล้วร่างกายจะสร้างภูมิคุ้มกันต่อสายพันธุ์นั้นไปตลอด แต่จะมีภูมิคุ้มกันต่อสายพันธุ์อื่นเพียงชั่วคราว

Q : อาการไข้เลือดออกต่างจากไข้หวัดธรรมดาอย่างไร ?

A : อาการไข้เลือดออกจะมีไข้สูงเกิน 38.5 องศาเซลเซียส นานเกิน 2 วัน หรือหน้าแดง คอแดง ปวดศีรษะหรือปวดกระบอกตา อาจมีจุดเล็กๆ ตามแขนขา แต่มักจะไม่มีอาการไอและน้ำมูก

Q : ผู้ป่วยไข้เลือดออกสามารถซื้อยาแก้ปวดรับประทานเองได้หรือไม่ ?

A : หากเป็นพาราเซตามอลสามารถรับประทานเพื่อแก้ปวด ลดไข้ได้ แต่ไม่ควรซื้อยาลดไข้ในกลุ่มแอสไพริน (Aspirin) และไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) มารับประทานเองเพราะอาจทำให้เลือดออกง่ายมากขึ้น 

โรคไข้เลือดออกนับว่าเป็นภัยอันตรายที่น่ากังวลเพราะอาการสามารถเพิ่มความรุนแรงขึ้นได้ทุกเมื่อ นอกจากจะต้องหมั่นสังเกตและดูแลอาการของผู้ป่วยอย่างใกล้ชิดแล้ว การให้ความสำคัญกับการจัดเก็บบริเวณบ้าน โดยเฉพาะพื้นที่ที่มีน้ำขังทั้งภายในและภายนอกบ้าน ควรคว่ำภาชนะต่างๆ ที่มีน้ำทิ้งเสียและจัดเก็บให้เข้าที่เข้าทางเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อจากยุงลายอันเป็นพาหะสำคัญของโรคไข้เลือดออก รวมถึงหาแนวทางกำจัดยุงลายให้ออกไปจากบริเวณบ้านก็จะสามารถลดความเสี่ยงในการติดเชื้อไวรัสได้มากยิ่งขึ้น   

 

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมและนัดหมายแพทย์ได้ที่ 
ศูนย์กุมารเวช ชั้น 3  โรงพยาบาลวิมุต 
เวลาทำการ 08.00 - 20.00 น. โทร. 0-2079-0030
หรือดาวน์โหลด ViMUT Application เพื่อนัดหมายแพทย์ หรือบริการปรึกษาหมอออนไลน์

 

ทุกปัญหาสุขภาพ ปรึกษาแพทย์เฉพาะทางออนไลน์ ที่พร้อมดูแลคุณด้วยความใส่ใจ

ผู้เขียน
พญ.สุธิดา ชินธเนศ แพทย์ผู้ชำนาญการโรคระบบการหายใจในเด็ก

เรื่องสุขภาพน่ารู้ที่เกี่ยวข้อง

Card Image
ลูกของคุณเสี่ยงมีพฤติกรรมคล้าย-ออทิสติกหรือไม่?

พฤติกรรมคล้ายออทิสติกหรือในสื่อสังคมมักเรียกว่า “ออทิสติกเทียม” เป็นภาวะที่เด็กขาด “การกระตุ้น” ในการสื่อสารสองทางโรคออทิสติก เกิดจากความผิดปกติของสมองเด็กตั้งแต่อยู่ในครรภ์ ในขณะที่อาการออทิสติกเทียมจะเกิดจาก "ขาดการกระตุ้น" เป็นหลัก

อ่านเพิ่มเติม
Card Image
เตรียมลูกรักให้ Ready เมื่อเปิดเทอมนี้ Covid มาเยือน ปี 2568

ช่วงนี้เปิดเทอมแล้ว ปี 2568 ฤดุฝนแบบนี้พ่อแม่ต้องระวังเป็นพิษ ทั้งไข้หวัด หรือโควิด มาเตรียมตัวลูกน้อยให้พร้อมรับมือกับโควิดไปด้วยกัน

อ่านเพิ่มเติม
Card Image
เด็กนอนกรน... อาจไม่ใช่เรื่องเล็กๆ อันตรายที่ต้องรีบเช็กด่วน

ฝันร้ายของลูกน้อย... อาจมาจากเสียงเด็กนอนกรน! ที่อาจเสี่ยงหยุดหายใจขณะหลับ ชวนไขข้อข้องใจเรื่อง "นอนกรนในเด็ก" ที่พ่อแม่ควรรู้! เกิดจากอะไร กำลังบอกอะไรและอันตรายอย่างไร

อ่านเพิ่มเติม
Card Image
ส่องสุขภาพเด็กอ้วนที่น่ารัก กับความอันตรายที่แอบแฝง

ในเด็กอ้วนที่ดูน่ารัก อาจกำลังเป็นเด็กที่เสี่ยงกับโรคอ้วนในเด็กได้ ชวนคุณพ่อคุณแม่มาดูอันตรายแฝงที่แอบซ่อนอยู่ในเด็กอ้วน พร้อมแนวทางการรักษากันได้ที่นี่

อ่านเพิ่มเติม