‘โรคโครห์น’ ภัยเงียบจากลำไส้อักเสบเรื้อรังที่ไม่ควรมองข้าม

หากคุณกำลังเผชิญกับปัญหาปวดท้องเรื้อรัง ท้องเสียรุนแรง หรือถ่ายเป็นเลือด อย่ามองข้าม! เพราะนี่อาจเป็นสัญญาณของ “โรคโครห์น” หนึ่งในกลุ่มโรคลำไส้อักเสบเรื้อรังที่หลายคนอาจไม่คุ้นชื่อ แต่ส่งผลกระทบอันตรายต่อระบบทางเดินอาหารเป็นอย่างมาก หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ได้รับการรักษาอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้ ในบทความนี้เราจะพาไปทำความรู้จักว่าโรคโครห์นเกิดจากอะไร พร้อมเช็กลิสต์อาการที่พบบ่อย แนวทางการวินิจฉัย ตลอดจนวิธีรักษาและการป้องกันเพื่อให้เข้าใจโรคอย่างถูกต้อง และสามารถดูแลตัวเองให้ห่างไกลจากภาวะแทรกซ้อนที่อาจเป็นอันตรายต่อชีวิต
รู้จัก ‘โรคโครห์น’ คืออะไร ?
โรคโครห์น (Crohn’s disease) คือหนึ่งในกลุ่มโรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง (Inflammatory Bowel Disease - IBD) โดยเกิดจากการอักเสบเรื้อรังของระบบทางเดินอาหาร ซึ่งสามารถเกิดได้ทุกส่วน ตั้งแต่ปาก หลอดอาหาร กระเพาะอาหาร ลำไส้เล็ก ลำไส้ใหญ่ ไปจนถึงทวารหนัก แต่ตำแหน่งที่พบบ่อยที่สุดคือบริเวณ “ลำไส้เล็กส่วนปลายและลำไส้ใหญ่” โดยการอักเสบที่เกิดขึ้นอาจลึกถึงชั้นผนังลำไส้ทั้งหมด ไม่ได้จำกัดเฉพาะผิวด้านในเหมือนโรคลำไส้อักเสบชนิดอื่น จึงมักทำให้ผู้ป่วยมีอาการรุนแรงและซับซ้อนกว่า
นอกจากนี้ โรคโครห์นยังจัดเป็นโรคเรื้อรังที่ผู้ป่วยจะมีอาการกำเริบเป็นช่วงๆ คือมีช่วงที่อาการดีขึ้นสลับกับช่วงกำเริบ แต่หากไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสมอาจส่งผลให้มีปัญหาด้านคุณภาพชีวิต ทั้งเรื่องโภชนาการ การทำงาน และสุขภาพจิตในระยะยาว
|
โรคโครห์นอาจถูกจำสับสนกับ ‘โรคลำไส้แปรปรวน (IBS)’ เพราะทั้ง 2 โรค ส่งผลต่อการทำงานของลำไส้และมีอาการเบื้องต้นบางอย่างคล้ายกัน เช่น ปวดท้องหรือท้องเสีย แต่ความจริงแล้วมีสาเหตุและความรุนแรงแตกต่างกันมาก โรคโครห์นอยู่ในกลุ่มโรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง (IBD) ที่สามารถทำลายเนื้อเยื่อลำไส้ได้ ขณะที่โรคลำไส้แปรปรวน (IBS) เป็นปัญหาที่เกิดจากความผิดปกติในการทำงานของลำไส้ โดยไม่มีการอักเสบหรือทำลายเนื้อเยื่อ |
.โรคโครห์น เกิดจากอะไร ?ในปัจจุบันยังไม่สามารถระบุสาเหตุที่ชัดเจนของโรคโครห์นได้ แต่จากการศึกษาพบว่าการเกิดโรคมีความเกี่ยวข้องกับหลายปัจจัยร่วมกัน ซึ่งส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานผิดปกติและเกิดการอักเสบในลำไส้อย่างต่อเนื่อง โดยปัจจัยสำคัญที่เกี่ยวข้อง มีดังนี้
- พันธุกรรม หากมีคนในครอบครัวเป็นโรคโครห์นหรือโรคลำไส้อักเสบเรื้อรังอื่นๆ จะมีโอกาสป่วยสูงกว่าคนทั่วไป
- ความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน ระบบภูมิคุ้มกันของผู้ป่วยตอบสนองต่อแบคทีเรียในลำไส้ผิดปกติ ทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรัง แม้ว่าเชื้อเหล่านั้นจะไม่เป็นอันตรายต่อคนทั่วไป
- สิ่งแวดล้อมและพฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น การสูบบุหรี่ การรับประทานอาหารไขมันสูง อาหารแปรรูป รวมถึงความเครียด ล้วนมีส่วนกระตุ้นให้โรคกำเริบได้ง่ายขึ้น
- ความไม่สมดุลของจุลชีพในลำไส้ หากจุลชีพในลำไส้ ซึ่งประกอบด้วยแบคทีเรีย เชื้อรา และไวรัส เกิดการเสียสมดุล โดยเฉพาะแบคทีเรียที่มีประโยชน์ ร่างกายอาจตอบสนองให้ภูมิคุ้มกันทำงานผิดปกติ กระตุ้นการอักเสบ และเพิ่มความรุนแรงของโรคได้
สรุปได้ว่า สาเหตุของโรคโครห์นเกิดจากปัจจัยทางพันธุกรรม ภูมิคุ้มกัน และสิ่งแวดล้อมร่วมกัน ไม่ได้เกิดจากการรับประทานอาหารเพียงอย่างเดียว รวมถึงพฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น การสูบบุหรี่หรือการเลือกรับประทานอาหาร ก็สามารถส่งผลต่อความรุนแรงและการกำเริบของโรคได้โดยตรง
โรคโครห์น อาการที่พบบ่อยมีอะไรบ้าง ?
- ท้องเสียเรื้อรัง ถือเป็นอาการหลักของโรคโครห์น โดยผู้ป่วยมักถ่ายเหลวเป็นประจำ และอาจมีมูกหรือเลือดปนในผู้ป่วยบางรายที่ลำไส้อักเสบรุนแรงหรือมีแผลบริเวณลำไส้ใหญ่
- ปวดท้องเกร็ง มักเกิดขึ้นบริเวณท้องน้อยหรือท้องด้านขวาล่าง ซึ่งสัมพันธ์กับตำแหน่งลำไส้เล็กส่วนปลายที่มักเกิดการอักเสบ
- น้ำหนักลดและเบื่ออาหาร เกิดจากการดูดซึมสารอาหารผิดปกติและการอักเสบเรื้อรัง ส่งผลให้ร่างกายได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ
- อ่อนเพลียและเหนื่อยง่าย มักสัมพันธ์กับภาวะขาดสารอาหารหรือภาวะโลหิตจางที่เกิดจากการสูญเสียเลือดเรื้อรัง
- มีไข้ ในผู้ป่วยบางรายอาจมีไข้ต่ำร่วมกับอาการอ่อนเพลีย ซึ่งเป็นผลจากการอักเสบที่ดำเนินอยู่ในร่างกาย
|
⚠️ นอกจากอาการทางลำไส้แล้ว ผู้ป่วยโรคโครห์นบางรายอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนที่อวัยวะอื่นๆ เช่น ข้ออักเสบ ตาอักเสบ ผื่นผิวหนัง หรือแผลรอบทวารหนัก เนื่องจากภูมิคุ้มกันทำงานผิดปกติและการอักเสบลุกลามไปทั่วร่างกาย ซึ่งภาวะเหล่านี้อาจส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตเป็นอย่างมาก |
การตรวจวินิจฉัยโรคโครห์นเนื่องจากอาการของโรคโครห์นมีความคล้ายคลึงกับโรคทางเดินอาหารหลายชนิด การวินิจฉัยจึงจำเป็นต้องใช้การตรวจหลายวิธีร่วมกันเพื่อให้ได้ผลที่แม่นยำ โดยมีขั้นตอนดังนี้
- การซักประวัติและตรวจร่างกาย แพทย์จะสอบถามอาการที่เป็นอยู่ ระยะเวลาที่เกิดอาการ ประวัติครอบครัว และปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ร่วมกับการตรวจร่างกายเพื่อประเมินภาวะโภชนาการและสัญญาณของการอักเสบ
- การตรวจเลือด เพื่อประเมินภาวะโลหิตจาง การอักเสบ และการขาดสารอาหาร ซึ่งเป็นภาวะที่พบได้บ่อยในผู้ป่วยโรคโครห์น
- การตรวจอุจจาระ เพื่อหาสัญญาณของการติดเชื้อหรือการอักเสบในระบบทางเดินอาหาร และช่วยแยกโรคที่มีอาการใกล้เคียงกันออกไป
- การส่องกล้องทางเดินอาหาร (Endoscopy/Colonoscopy) เป็นวิธีมาตรฐานที่ช่วยระบุได้ชัดเจนว่าเป็นโรคโครห์นหรือไม่ โดยแพทย์จะใช้กล้องส่องตรวจลำไส้เพื่อดูการอักเสบโดยตรง ร่วมกับการเก็บชิ้นเนื้อ (Biopsy) เพื่อตรวจทางพยาธิวิทยา
- การตรวจภาพถ่ายรังสี เช่น เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT scan) หรือการตรวจ MRI โดยเฉพาะ MR enterography ซึ่งใช้ดูรายละเอียดของลำไส้เล็ก และประเมินภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ภายในลำไส้
โรคโครห์น รักษาอย่างไร ?
ในปัจจุบันโรคโครห์นยังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ จึงมุ่งเน้นไปที่การควบคุมการอักเสบ ลดอาการ และป้องกันภาวะแทรกซ้อน ดังนี้- การใช้ยา เป็นขั้นตอนแรกที่ใช้เพื่อควบคุมอาการและลดการอักเสบ โดยชนิดของยาที่แพทย์เลือกใช้จะขึ้นกับความรุนแรงและตำแหน่งที่เกิดการอักเสบ อาทิเช่น
- ยาลดการอักเสบ (Anti-inflammatory drugs) เช่น corticosteroids ใช้เพื่อลดการอักเสบเฉียบพลัน
- ยากดภูมิคุ้มกัน (Immunosuppressants) เช่น azathioprine, mercaptopurine เพื่อลดการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันที่ผิดปกติ
- ยาปฏิชีวนะ (Antibiotics) ใช้เมื่อมีการติดเชื้อแบคทีเรียร่วมด้วย
- ยาชีวภาพ (Biologics) เช่น Anti-TNF agents ใช้ในกรณีที่ผู้ป่วยไม่ตอบสนองต่อยาประเภทอื่น ช่วยยับยั้งโปรตีนที่กระตุ้นการอักเสบ
- การผ่าตัด ในกรณีที่ผู้ป่วยมีภาวะแทรกซ้อน เช่น ลำไส้ตีบ ฝีคัณฑสูตร หรือเกิดลำไส้ทะลุ แพทย์อาจพิจารณาการผ่าตัดเพื่อตัดลำไส้ส่วนที่เสียหายออก ทั้งนี้ การผ่าตัดไม่สามารถรักษาโรคให้หายขาดได้ แต่สามารถช่วยลดอาการและภาวะแทรกซ้อนที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต
- การดูแลโภชนาการและเสริมสารอาหาร ผู้ป่วยบางรายอาจต้องรับประทานอาหารเสริม เช่น ธาตุเหล็ก หรือวิตามินบี 12 รวมถึงการให้อาหารทางสายยางเพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารเพียงพอ เนื่องจากการอักเสบของลำไส้อาจทำให้ดูดซึมสารอาหารไม่เต็มที่

แนวทางการป้องกันโรคโครห์น
แม้ว่าโรคโครห์นจะเป็นโรคที่ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด เพราะเกี่ยวข้องกับปัจจัยทางพันธุกรรมและความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันที่ควบคุมไม่ได้ แต่ปัจจัยด้านพฤติกรรมก็มีส่วนสำคัญเช่นกัน ดังนั้น การปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตดูแลสุขภาพอย่างเหมาะสมก็สามารถช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรค และควบคุมอาการให้อยู่ในภาวะสงบได้มากขึ้น โดยมีแนวทาง ดังนี้
- ควบคุมอาหารอย่างเหมาะสม ดื่มน้ำให้เพียงพอ เลือกอาหารที่ย่อยง่าย มีจุลินทรีย์ดีและไขมันต่ำ เช่น นมเปรี้ยว โยเกิร์ต ผักผลไม้ที่มีไฟเบอร์เหมาะสม รวมถึงหลีกเลี่ยงอาหารที่อาจก่อให้เกิดการระคายเคืองในลำไส้ เช่น อาหารแปรรูป อาหารรสจัด หรือเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนมาก
- งดสูบบุหรี่ การสูบบุหรี่เป็นหนึ่งในปัจจัยเสี่ยงสำคัญของโรคโครห์น และยังเพิ่มโอกาสให้โรคกำเริบได้บ่อยและรุนแรงขึ้น
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ การออกกำลังกายช่วยกระตุ้นระบบย่อยอาหาร ช่วยลดความเครียดและเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน
- ควบคุมความเครียด ความเครียดสามารถกระตุ้นให้ร่างกายเกิดการอักเสบ ส่งผลให้การบีบตัวของลำไส้ผิดปกติ และอาจทำให้ผู้ป่วยโรคกำเริบได้ ดังนั้นจึงควรนอนหลับให้เพียงพอและหลีกเลี่ยงความเครียดสะสม
- ตรวจสุขภาพสม่ำเสมอ หากมีอาการท้องเสียเรื้อรัง ปวดท้อง หรือน้ำหนักลด ควรรีบพบแพทย์เฉพาะทางเพื่อตรวจวินิจฉัยและพิจารณาการส่องกล้องทางเดินอาหาร เพื่อประเมินอาการผิดปกติที่อาจเกี่ยวข้องกับโรคโครห์นหรือกลุ่มโรค IBD อื่นๆ
- ปรับพฤติกรรมการใช้ยา หลีกเลี่ยงการใช้ยาที่อาจทำให้ลำไส้ระคายเคือง เช่น ยาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDs หากจำเป็นต้องใช้ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเสมอ
โรคโครห์น ถือเป็นหนึ่งในโรคลำไส้อักเสบเรื้อรังที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตอย่างมาก แต่หากตรวจพบตั้งแต่ในระยะแรกและได้รับการรักษาอย่างเหมาะสมจะช่วยควบคุมอาการและลดความรุนแรงของโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากมีอาการท้องเสียเรื้อรัง ปวดท้อง น้ำหนักลด หรือพบเลือดปนในอุจจาระ ควรรีบพบแพทย์เฉพาะทางเพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและวางแผนการรักษาที่ถูกต้องตั้งแต่เนิ่นๆ เพราะการดูแลอย่างเหมาะสมจะช่วยให้ผู้ป่วยกลับมาใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ และลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนในระยะยาว
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมและนัดหมายแพทย์ได้ที่
ศูนย์ทางเดินอาหารและตับ ชั้น 5 โรงพยาบาลวิมุต
เวลาทำการ 08:00-20:00 น. โทร. 0-2079-0054
หรือดาวน์โหลด ViMUT Application เพื่อนัดหมายแพทย์ หรือบริการปรึกษาหมอออนไลน์
ทุกปัญหาสุขภาพ ปรึกษาแพทย์เฉพาะทางออนไลน์ ที่พร้อมดูแลคุณด้วยความใส่ใจ
แนะนำแพทย์ที่เกี่ยวข้อง

จิริยะสิน

จิริยะสิน

จิริยะสิน

จิริยะสิน

จิริยะสิน

จิริยะสิน
เรื่องสุขภาพน่ารู้ที่เกี่ยวข้อง

มะเร็งลำไส้ใหญ่ อาการแบบไหนต้องระวัง รีบเช็กด่วน!
ปวดท้องบ่อย ท้องผูกบ่อยและมีเลือดออกมาพร้อมอุจจาระ อาการแบบนี้คุณอาจกำลังเสี่ยงโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ มาเช็กอาการและสัญญาณเตือนของโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่กันได้ที่นี่

ปวดท้องบิดเกร็ง อาจะเป็น “ลำไส้แปรปรวน” ที่ทำให้ชีวิตคุณต้องชะงัก
ปวดท้องบิดเกร็งเป็นพักๆ ไม่ถ่าย หรือท้องเสียไม่พัก อาการแบบนี้เสี่ยงเป็นโรคลำไส้แปรปรวนรึเปล่า? เพราะอาการเหล่านี้มักรบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน ชวนทุกคนมาสังเกตอาการไปพร้อมกับเรา

ภาวะไขมันพอกตับ รู้ตัวช้า เสี่ยงอันตราย
ไขมันพอกตับ คือภาวะที่ค่าไขมันสะสมในตับมากเกินปกติ คนที่ไม่อ้วน แต่ลงพุง พุงโต ก็เสี่ยงเป็นได้ มาดูวิธีสังเกตอาการ และอาหารที่ควรเลี่ยง

“ท้องผูก” ปวดท้อง ปัญหาการถ่ายที่ไม่ใช่เพียงแค่… ถ่ายไม่ออก!
ถ่ายไม่ออก อุจจาระแข็ง นานๆ จะถ่าย หรือทั้งสัปดาห์ถ่ายครั้งเดียว แบบนี้เป็นโรคท้องผูกไหม เรารวมข้อมูลสาเหตุและวิธีแก้ท้องผูก สำหรับคนที่มีปัญหาการขับถ่ายมาฝากแล้ว

มะเร็งลำไส้ใหญ่ อาการแบบไหนต้องระวัง รีบเช็กด่วน!
ปวดท้องบ่อย ท้องผูกบ่อยและมีเลือดออกมาพร้อมอุจจาระ อาการแบบนี้คุณอาจกำลังเสี่ยงโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ มาเช็กอาการและสัญญาณเตือนของโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่กันได้ที่นี่

ปวดท้องบิดเกร็ง อาจะเป็น “ลำไส้แปรปรวน” ที่ทำให้ชีวิตคุณต้องชะงัก
ปวดท้องบิดเกร็งเป็นพักๆ ไม่ถ่าย หรือท้องเสียไม่พัก อาการแบบนี้เสี่ยงเป็นโรคลำไส้แปรปรวนรึเปล่า? เพราะอาการเหล่านี้มักรบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน ชวนทุกคนมาสังเกตอาการไปพร้อมกับเรา

ภาวะไขมันพอกตับ รู้ตัวช้า เสี่ยงอันตราย
ไขมันพอกตับ คือภาวะที่ค่าไขมันสะสมในตับมากเกินปกติ คนที่ไม่อ้วน แต่ลงพุง พุงโต ก็เสี่ยงเป็นได้ มาดูวิธีสังเกตอาการ และอาหารที่ควรเลี่ยง

“ท้องผูก” ปวดท้อง ปัญหาการถ่ายที่ไม่ใช่เพียงแค่… ถ่ายไม่ออก!
ถ่ายไม่ออก อุจจาระแข็ง นานๆ จะถ่าย หรือทั้งสัปดาห์ถ่ายครั้งเดียว แบบนี้เป็นโรคท้องผูกไหม เรารวมข้อมูลสาเหตุและวิธีแก้ท้องผูก สำหรับคนที่มีปัญหาการขับถ่ายมาฝากแล้ว

ภาวะไขมันพอกตับ รู้ตัวช้า เสี่ยงอันตราย
ไขมันพอกตับ คือภาวะที่ค่าไขมันสะสมในตับมากเกินปกติ คนที่ไม่อ้วน แต่ลงพุง พุงโต ก็เสี่ยงเป็นได้ มาดูวิธีสังเกตอาการ และอาหารที่ควรเลี่ยง

“ท้องผูก” ปวดท้อง ปัญหาการถ่ายที่ไม่ใช่เพียงแค่… ถ่ายไม่ออก!
ถ่ายไม่ออก อุจจาระแข็ง นานๆ จะถ่าย หรือทั้งสัปดาห์ถ่ายครั้งเดียว แบบนี้เป็นโรคท้องผูกไหม เรารวมข้อมูลสาเหตุและวิธีแก้ท้องผูก สำหรับคนที่มีปัญหาการขับถ่ายมาฝากแล้ว

มะเร็งลำไส้ใหญ่ อาการแบบไหนต้องระวัง รีบเช็กด่วน!
ปวดท้องบ่อย ท้องผูกบ่อยและมีเลือดออกมาพร้อมอุจจาระ อาการแบบนี้คุณอาจกำลังเสี่ยงโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ มาเช็กอาการและสัญญาณเตือนของโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่กันได้ที่นี่

ปวดท้องบิดเกร็ง อาจะเป็น “ลำไส้แปรปรวน” ที่ทำให้ชีวิตคุณต้องชะงัก
ปวดท้องบิดเกร็งเป็นพักๆ ไม่ถ่าย หรือท้องเสียไม่พัก อาการแบบนี้เสี่ยงเป็นโรคลำไส้แปรปรวนรึเปล่า? เพราะอาการเหล่านี้มักรบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน ชวนทุกคนมาสังเกตอาการไปพร้อมกับเรา