เช็กอาการ “ท้องอืด” เกิดจากอะไร พร้อมวิธีแก้ที่ตรงจุด

เชื่อว่าหลายคนต้องเคยมีโอกาสสัมผัสกับอาการยอดฮิตอย่าง “ท้องอืด” ปวดท้อง หรือเกิดอาการจุกเสียดหลังมื้ออาหาร จนทำให้ต้องเรอหรือผายลมออกมาเพื่อระบายความแน่น อึดอัดนี้กันมาบ้าง ซึ่งบางครั้งอาจมีอาการท้องเสียหรือท้องผูกรวมอยู่ด้วย จนทำให้ไม่สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างสะดวก ซึ่งอาการที่ดูธรรมดาเหมือนจะไม่ร้ายแรงนี้ หากเป็นบ่อยๆ อาจเป็นสัญญาณเตือนความผิดปกติหรือเสี่ยงต่อโรคร้ายได้ เพื่อให้คุณไม่ต้องทรมานกับอาการท้องอืดนี้ ไปทำความรู้จักอาการท้องอืดกันว่าเป็นอย่างไร และมีวิธีแก้ไขอย่างไร ? 

ท้องอืด มีอาการอย่างไร?

ท้องอืด (Bloated Stomach) เป็นภาวะที่ภายในท้องเกิดอาการแน่น จุกเสียด ปวดท้อง ทำให้เรอ ผายลมอยู่บ่อยครั้ง เพราะมีแก๊สอยู่ในกระเพาะอาหารและลำไส้เป็นจำนวนมาก จนทำให้ท้องดูบวมเนื่องจากอาหารไม่ย่อย ทำให้รู้สึกอึดอัดไม่สบายตัว อยากอาหารน้อยลง บางครั้งอาจได้ยินเสียงภายในท้องและมีอาการปวดท้องร่วมด้วย จึงอาจเรียกได้ว่าอาการท้องอืดนั้นบั่นทอนและรบกวนการใช้ชีวิตของเราไม่น้อย โดยอาการท้องอืดมักจะเกิดขึ้นบริเวณท้องส่วนบน ระหว่างช่วงใต้ลิ้นปี่และเหนือสะดือนั่นเอง 

ทั้งนี้ แม้อาการท้องอืดจะสามารถดีขึ้นและหายได้เอง แต่หากมีอาการท้องอืดเรื้อรังนานเกินกว่า 2 สัปดาห์ขึ้นไป อาจต้องไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจรักษา

 

ท้องอืด เกิดจากสาเหตุอะไร?

 

อาการท้องอืดสามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ โดยหลักๆ นั้นเหตุกระตุ้นที่ทำให้เกิดท้องอืดมาจากการรับประทานอาหารหรือเครื่องดื่มที่มีแก๊สมาก การรับประทานยาบางชนิดที่ส่งผลต่อระบบย่อยอาหาร หรือแม้แต่พฤติกรรการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น การพูดคุย หัวเราะ ซึ่งมีอากาศเข้าไปในท้องเป็นจำนวนมากก็ส่งผลทำให้เกิดท้องอืดได้เช่นกัน รวมถึงการเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนของเพศหญิงก่อนมีประจำเดือนและความอ่อนแอของผนังช่องท้องที่อาจเกิดจากการผ่าตัดหรือคลอดบุตร ก็สามารถก่อให้เกิดอาการท้องอืดขึ้นได้ 

นอกจากสาเหตุข้างต้นแล้ว อาการท้องอืดยังมีโอกาสนำไปสู่โรคต่างๆ ได้อีกด้วย เช่น

• เนื้องอกในช่องท้อง

• โรคมะเร็ง เช่น มะเร็งลำไส้ มะเร็งรังไข่
• นิ่วในถุงน้ำดี
• โรคลำไส้แปรปรวน
• โรคกระเพาะอาหาร
• ท้องผูกเรื้อรัง

วิธีแก้ท้องอืด ทำอย่างไร?

จะเห็นได้ว่าอาการท้องอืดนั้นสามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ใครกำลังประสบปัญหานี้อยู่ขอแนะนำวิธีแก้ท้องอืดเบื้องต้น ดังต่อไปนี้

1.หลีกเลี่ยงอาหารจำพวกที่ทำให้เกิดแก๊สในกระเพาะอาหาร เช่น ถั่วประเภทต่างๆ ผักที่มีลักษณะเป็นหัวอย่างบรอกโคลี ฯลฯ สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการแพ้โปรตีนกลูเตน ให้หลีกเลี่ยงอาหารที่มีส่วนผสมของข้าวสาลีทุกชนิด หรือหากมีอาการแพ้น้ำตาลแลคโตส การงดอาหารที่มีส่วนผสมของนมก็สามารถช่วยลดการเกิดอาการท้องอืดได้เช่นกัน

2.หลีกเลี่ยงอาหารที่มีส่วนผสมของสารให้ความหวานแทนน้ำตาล เนื่องจากสารให้ความหวานอย่างซอร์บิทอล (Sorbitol) ผลิตจากน้ำตาลฟรุกโตส ซึ่งเป็นสาเหตุของอาการท้องอืดนั่นเอง

3.ลดปริมาณการดื่มเครื่องดื่มที่มีแก๊สและน้ำตาลสูง เช่น แอลกอฮอล์ น้ำอัดลม โซดาและน้ำผลไม้ 

4.งดสูบบุหรี่ การสูบบุหรี่นอกจากจะส่งผลกระทบต่อร่างกายส่วนอื่นๆ แล้ว ยังเป็นการนำเอาอากาศเข้าไปในร่างกายปริมาณมากจนอาจนำไปสู่อาการท้องอืดได้ การงดสูบบุหรี่จึงเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยที่ทำให้ท้องอืดหายได้
 

เมื่อไรที่ควรไปพบแพทย์

หากมีอาการท้องอืดเกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง และรับประทานยาเพื่อบรรเทาอาการแล้วแต่อาการยังไม่ดีขึ้น หรือมีอาการผิดปกติดังต่อไปนี้ควรรีบไปพบแพทย์ทันทีเพื่อรับการตรวจและรักษาอย่างทันท่วงที

1. อาเจียนบ่อยหรืออาเจียนเป็นเลือด
2. ปวดท้องอย่างรุนแรง
3. ถ่ายเหลวบ่อยๆ หรือถ่ายเป็นเลือด
4. ประจำเดือนมาผิดปกติ
5. น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ
6. ตัวเหลือง ตาเหลือง

จะเห็นได้ว่าอาการท้องอืดเป็นอาการทั่วไปที่สามารถพบได้ในทุกเพศ ทุกวัย เพราะมีสาเหตุหลักๆ มาจากการรับประทานอาหารและพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่แตกต่างของแต่ละคน ดังนั้นการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมต่างๆ นอกจากจะช่วยลดโอกาสเกิดอาการท้องอืดแล้ว ยังช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพอีกด้วย แต่หากยังไม่ดีขึ้นและมีอาการผิดปกติเกิดขึ้นกับร่างกายควรรีบพบแพทย์ทันที

 

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมและนัดหมายแพทย์ได้ที่
ศูนย์ทางเดินอาหารและตับ ชั้น 5 โรงพยาบาลวิมุต

เวลาทำการ 08:00-20:00 น. โทร. 0-2079-0054 

หรือดาวน์โหลด ViMUT Application เพื่อนัดหมายแพทย์ หรือบริการปรึกษาหมอออนไลน์ 

 

ทุกปัญหาสุขภาพ ปรึกษาแพทย์เฉพาะทางออนไลน์ ที่พร้อมดูแลคุณด้วยความใส่ใจ